นโยบายการค้า-การคลัง สหรัฐฯ โอกาสและความเสี่ยงในการลงทุน

ลงทุน ดัชนี Nasdaq 100 Opportunistic Portfolio ที่เป็นพอร์ตระยะสั้น (น้อยกว่า 1 ปี) จากความคาดหวังผลการเจรจาที่ดีระหว่างสหรัฐฯ-จีน ซึ่งส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมชิป นอกจากนี้ กระแส AI ที่ดำเนินต่อ ขณะที่ กลุ่ม Tech รายใหญ่ ที่ส่วนใหญ่ มีความสามารถในการทำกำไรสูง และมีงบดุลแข็งแกร่ง มีแนวโน้มรับมือได้ดี กับความไม่แน่นอนด้านนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ที่ยังมีอยู่
สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน
เราผ่านพ้นช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ไปท่ามกลางความไม่แน่นอนทางด้านนโยบายของสหรัฐฯ ความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ทั้งในตะวันออกกลาง และระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลให้ภาพรวมการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ มีความผันผวนสูงขึ้น ไม่ใช่เฉพาะแต่สินทรัพย์เสี่ยง โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้น ท่ามกลางการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ สรอ. ขณะที่ ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้นได้อย่างโดดเด่น ส่วนตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนได้ดี ในช่วงครึ่งปีแรก นำโดยตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ตลาดหุ้นจีน H-Shares และ ตลาดหุ้นยุโรป ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังสามารถปรับเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง แม้มีความกังวลผลกระทบจากนโยบายด้านการค้าของประธานาธิบดี Trump ต่อเศรษฐกิจ โดยได้แรงหนุนจากหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ทั้งในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับกระแสของ AI และกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์
ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ทาง SCB CIO มองว่า ความไม่แน่นอนทางด้านนโยบายการค้าได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว และสหรัฐฯ ไม่น่าจะกลับมาเก็บภาษีนำเข้าเต็มรูปแบบเหมือนที่ได้เสนอในช่วงวันปลดแอก เนื่องจาก จะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลกอย่างมาก และส่งผลลบต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ รวมทั้ง สร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อสหรัฐฯ ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันที่สหรัฐฯ สามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหราชอาณาจักร และสามารถบรรลุข้อตกลงการค้าฉบับใหม่กับจีน ที่กรุงลอนดอน ขณะที่ ยังมีมากกว่า 12 ประเทศที่อยู่ระหว่างการเจรจากับรัฐบาล Trump เพื่อหลีกเลี่ยงการขึ้นภาษี อย่างไรก็ดี ยังต้องจับตาผลของการเจรจาทางการค้าที่มีเส้นตายวันที่ 9 ก.ค.นี้ กับประเทศต่างๆ และ ติดตามการไต่สวนของศาลอุทธรณ์บนข้อจำกัดทางกฎหมาย ที่อาจทำให้ประธานาธิบดี Trump ไม่สามารถใช้อำนาจประธานาธิบดีในการใช้กฎหมาย IEEPA เพื่อเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราที่สูงและเป็นวงกว้าง ในช่วงสิ้นเดือน ก.ค. ซึ่งเราคาดว่า หากศาลจำกัดการใช้ IEEPA ฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ ยังสามารถใช้เครื่องมือทางกฎหมายภาษีอื่น เช่น Section 301 (มุ่งเป้ารายประเทศ) และ Section 232 (มุ่งเป้ารายอุตสาหกรรม) ซึ่งมาตรการเหล่านี้มีแนวโน้มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ น้อยกว่าเมื่อเทียบกับการเก็บภาษีแบบวงกว้าง
ในส่วนของ แผนลดภาษีเงินได้และการใช้จ่าย ภายใต้ร่างงบประมาณ One Big Beautiful Bill Act (OBBBA) มีแนวโน้มส่งผลดีต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ แต่เพิ่มความกังวลบนประเด็นหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น โดยสภาผู้แทนราษฎรลงมติผ่านร่าง OBBBA เมื่อวันที่ 22 พ.ค. ขณะที่วุฒิสภาได้พิจารณาปรับแก้ และผ่านร่าง OBBBA ฉบับวุฒิสภา เมื่อวันที่ 1 ก.ค.โดยมีสาระสำคัญของ แผนลดภาษีเงินได้ ได้แก่ ขยายเวลาลดภาษีภายใต้ TCJA ของประธานาธิบดี Trump เมื่อปี 2560 เพิ่มเพดานหักภาษีของรัฐและท้องถิ่น (SALT) เป็น 40,000 ดอลลาร์ สรอ. ในระยะ 5 ปี ให้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีใหม่สำหรับรายได้จากทิป เพิ่มเครดิตภาษีสำหรับบุตรเป็นการถาวร เพิ่มเครดิตภาษีการลงทุนอุตสาหกรรมขั้นสูง จากเดิม 25% ขึ้นเป็น 35% สำหรับโรงงานเซมิคอนดักเตอร์ที่เริ่มก่อสร้างก่อนปี 2570 ส่วนในด้านของ การลดการใช้จ่าย ได้แก่ ตัดลดงบโครงการ Medicaid และโครงการอาหารสำหรับผู้มีรายได้น้อย ทยอยยกเลิกสิทธิ์ลดหย่อนด้านพลังงานสะอาดจากยุคประธานาธิบดี Biden นอกจากนี้ ยังเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ อีก 5 ล้านล้านดอลลาร์ สรอ. ทั้งนี้ CBO คาดว่า ร่างฉบับวุฒิสภาจะเพิ่มการขาดดุลการคลังราว 3.3 ล้านล้าน ดอลลาร์ สรอ. ในช่วง 10 ปีข้างหน้า ซึ่งมากกว่า TCJA เมื่อปี 2560 ที่เน้นการลดภาษีนิติบุคคลเป็นหลัก ซึ่งขั้นตอนหลังจากนี้ จะส่งต่อให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาอีกครั้ง เพื่อพิจารณาเห็นชอบร่างที่แก้ไขมา แล้วส่งต่อให้ประธานาธิบดีลงนามบังคับใช้เป็นกฎหมาย โดย ประธานาธิบดี Trump ตั้งเป้าผ่านร่างนี้ ในวันที่ 4 ก.ค.นี้ โดยเรามองว่า หากพลาดกำหนดนี้ เป้าหมายรองจะเลื่อนไปต้นเดือน ส.ค. ซึ่งเป็นช่วงที่กระทรวงการคลัง คาดว่า อาจถึงเส้นตายผิดนัดชำระหนี้ของรัฐบาล
SCB CIO มองว่า จากประเด็นเรื่องความไม่แน่นอนทางด้านนโยบายการค้าที่ลดลง โดยสหรัฐฯไม่ได้ดำเนินมาตรการภาษีแบบเต็มรูปแบบ และความคืบหน้าบนการกระตุ้นทางการคลังตามร่าง OBBBA ที่ชัดเจนขึ้น ส่งผลต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ และ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดังนี้
ผลต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ: แรงกระตุ้นทางการคลังตามร่าง OBBBA ที่ชัดเจนขึ้นและแรงฉุดจากภาษีนำเข้าที่ลดลง จะช่วยสนับสนุน GDP สหรัฐฯ ให้เติบโตได้ดี ขณะที่ อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ยังหนืดในระยะสั้น ตามการใช้จ่ายกระตุ้นที่เพิ่มขึ้น แม้อัตราภาษีนำเข้าอาจไม่สูงมากนัก ผลต่อตลาดตราสารหนี้สหรัฐฯ: อัตราผลตอบแทนพันธบัตรของสหรัฐฯ (UST) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อ จากการออก UST ที่มากขึ้น เพื่อชดเชยการขาดดุลการคลังที่แย่ลง และจากส่วนชดเชยความเสี่ยงสำหรับการถือตราสารหนี้ ระยะยาว (term premium) ที่เพิ่มขึ้น ตามความกังวลวินัยการคลัง และปัญหาหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ผลต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ: EPS ของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ มีแนวโน้มเติบโตได้ดี ตามภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ดี ขณะที่ OBBBA เน้นผลประโยชน์ให้กับภาคครัวเรือน โดยเฉพาะกลุ่มรายได้สูง ซึ่งเราคาดว่า มีแนวโน้มเพิ่มการบริโภค และการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ นอกจากนี้ หุ้นสหรัฐฯ มีแนวโน้มได้อานิสงส์จากการใช้จ่ายภาครัฐ ที่มากขึ้น ด้าน P/E มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับ EPS ที่ยังเติบโตได้ดี แม้ว่า UST Yield ที่ปรับเพิ่มขึ้นอาจจำกัดการเพิ่มขึ้นของ P/E บ้างก็ตาม
ในด้านคำแนะนำการลงทุน SCB CIO แนะนำลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเน้นบนหุ้นขนาดใหญ่ บน Core Portfolio ที่เป็นพอร์ตระยะยาว (มากกว่า 1 ปีขึ้นไป) โดยมีสัดส่วนตามความเสี่ยงที่ยอมรับได้ จากกำไรของบริษัทจดทะเบียนของสหรัฐฯ ที่ยังมีแนวโน้มเติบโตดี และกระจายตัวเป็นวงกว้าง โดยได้อานิสงส์จากกระแส AI ทั่วโลก การผลักดันร่างกระตุ้นทางการคลัง และการผ่อนคลายด้านกฎระเบียบเพิ่มเติม รวมทั้ง แนะนำลงทุน ดัชนี Nasdaq 100 Opportunistic Portfolio ที่เป็นพอร์ตระยะสั้น (น้อยกว่า 1 ปี) จากความคาดหวังผลการเจรจาที่ดีระหว่างสหรัฐฯ-จีน ซึ่งส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมชิป นอกจากนี้ กระแส AI ที่ดำเนินต่อ ขณะที่ กลุ่ม Tech รายใหญ่ ที่ส่วนใหญ่ มีความสามารถในการทำกำไรสูง และมีงบดุลแข็งแกร่ง มีแนวโน้มรับมือได้ดี กับความไม่แน่นอนด้านนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ที่ยังมีอยู่







