ทำธุรกรรมกับนิติบุคคลต่างประเทศ ผู้จ่ายในไทยต้องยื่นภาษีแบบไหน?

ทำธุรกรรมกับนิติบุคคลต่างประเทศ ผู้จ่ายในไทยต้องยื่นภาษีแบบไหน?

เมื่อธุรกิจไทยต้องจ่ายเงินให้นิติบุคคลต่างประเทศ ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย ไหม ยื่นภาษีแบบไหน และขั้นตอนเป็นอย่างไร ไม่อยากโดนค่าปรับจากสรรพากร อย่าละเลยเรื่องภาษี!

ในยุคที่ธุรกิจเชื่อมโยงกันทั่วโลก การทำธุรกรรมกับนิติบุคคลต่างประเทศเป็นเรื่องปกติ ไม่ว่าจะเป็นการสั่งซื้อสินค้า การจ้างบริการ หรือการลงทุนร่วม อย่างไรก็ตามหลายธุรกิจในไทยมักละเลยเรื่องภาษี ซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหาภาษีย้อนหลังและค่าปรับจากกรมสรรพากรได้ การทำความเข้าใจว่าผู้จ่ายในไทยต้องยื่นภาษีแบบไหน และต้องทำขั้นตอนอย่างไร จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ประกอบการทุกระดับ

การทำธุรกรรมกับนิติบุคคลต่างประเทศและภาษีที่เกี่ยวข้อง

เมื่อธุรกิจไทยจ่ายเงินให้กับนิติบุคคลต่างประเทศ เงินที่จ่ายนี้มักถือเป็น รายได้ของคู่ค้าต่างประเทศ ตามกฎหมายไทย ดังนั้นผู้จ่ายในไทยต้องมีหน้าที่ หักภาษี ณ ที่จ่าย (Withholding Tax – WHT) ก่อนการโอนเงิน การหักภาษีนี้มีความสำคัญ เพราะเป็นการยืนยันว่าไทยได้จัดเก็บภาษีรายได้จากต่างประเทศอย่างถูกต้อง

ประเภทของรายได้ที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายมีหลายแบบ เช่น

  • ค่าบริการ (Service Fees) ได้แก่ การจ้างที่ปรึกษา การตลาด ซอฟต์แวร์ หรือบริการทางวิชาชีพอื่นๆ
  • ค่าลิขสิทธิ์ (Royalty) เช่น ค่าสิทธิ์ซอฟต์แวร์ เพลง หนังสือ หรือเนื้อหาออนไลน์
  • ดอกเบี้ยเงินกู้ (Interest) หากธุรกิจไทยกู้ยืมเงินจากต่างประเทศ

อัตราภาษีที่หัก ณ ที่จ่ายแตกต่างกันไปตามประเภทของรายได้ เช่น ค่าบริการ 15% ดอกเบี้ย 15% หรือค่าลิขสิทธิ์ 15% อย่างไรก็ตามหากประเทศไทยมี สนธิสัญญาเลี่ยงภาษีซ้อน กับประเทศคู่ค้า อัตราภาษีบางประเภทอาจลดลง ทำให้ธุรกิจจ่ายภาษีน้อยลงและไม่ซ้ำซ้อน

ขั้นตอนการยื่นภาษีและเอกสารที่ต้องเตรียม

หลังจากหักภาษี ณ ที่จ่ายแล้ว ผู้จ่ายในไทยต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด. 53 สำหรับนิติบุคคล ซึ่งเป็นแบบรายเดือนหรือรายไตรมาส ขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจและช่วงเวลาการจ่ายเงิน

นอกจากนี้ผู้จ่ายยังควรออก ใบรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (Withholding Tax Certificate) ให้กับคู่ค้าต่างประเทศ เพื่อเป็นหลักฐานว่าภาษีถูกนำส่งกรมสรรพากรเรียบร้อยแล้ว เอกสารนี้ช่วยให้คู่ค้าต่างประเทศสามารถยืนยันการชำระภาษีในไทย และใช้สำหรับยื่นภาษีในประเทศต้นทางได้ตามกฎหมาย

ข้อควรระวังในการทำธุรกรรมกับต่างประเทศ

  • ตรวจสอบอัตราภาษีและประเภทของรายได้ การจัดประเภทรายได้ผิดประเภทอาจทำให้หักภาษีไม่ตรงตามกฎหมาย หรือเสียภาษีมากเกินไป
  • สนธิสัญญาเลี่ยงภาษีซ้อน หากมีสนธิสัญญา ไทยอาจลดอัตราภาษีได้ แต่ต้องมีเอกสารประกอบการยืนยัน
  • เก็บเอกสารการทำธุรกรรมและหลักฐานการโอนเงิน ทั้งใบแจ้งหนี้ ใบเสร็จโอนเงิน และใบรับรองการหักภาษี
  • ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี หากธุรกรรมซับซ้อนหรือเกี่ยวข้องกับเงินจำนวนมาก การปรึกษานักบัญชีหรือที่ปรึกษาภาษีช่วยให้มั่นใจว่าไม่มีความผิดพลาด

ตัวอย่างสถานการณ์เพื่อความเข้าใจ

สมมติว่าบริษัทไทยจ้างบริษัทที่ปรึกษาจากสหรัฐอเมริกาให้พัฒนาเว็บไซต์ ค่าบริการ 200,000 บาท ตามกฎหมายไทย บริษัทไทยต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% ก่อนโอนเงินไปต่างประเทศ ซึ่งเท่ากับ 30,000 บาท ส่วนที่เหลือ 170,000 บาทจึงโอนให้คู่ค้า และผู้จ่ายต้องยื่นภ.ง.ด.53 พร้อมออกใบรับรองการหักภาษีให้คู่ค้า

หากบริษัทมีสนธิสัญญาเลี่ยงภาษีซ้อนกับสหรัฐฯ อัตราภาษีอาจลดลงเหลือ 10% ทำให้หักภาษีเพียง 20,000 บาท การมีเอกสารและทำตามขั้นตอนนี้ครบถ้วนช่วยให้ทั้งไทยและคู่ค้าต่างประเทศสบายใจว่าเรื่องภาษีถูกต้องตามกฎหมาย

ข้อดีของการทำตามขั้นตอนภาษีอย่างถูกต้อง

  1. ลดความเสี่ยงการถูกตรวจสอบภาษีย้อนหลัง
  2. แสดงความโปร่งใสและสร้างความเชื่อมั่นให้คู่ค้าต่างประเทศ
  3. ป้องกันค่าปรับและดอกเบี้ยจากกรมสรรพากร
  4. ช่วยให้ธุรกิจวางแผนการเงินและภาษีได้แม่นยำ

สรุป การทำธุรกรรมกับนิติบุคคลต่างประเทศไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องใส่ใจเรื่องภาษีอย่างรอบคอบ ผู้จ่ายในไทยมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่าย และยื่นแบบภาษีให้ถูกต้อง การปฏิบัติตามขั้นตอนเหล่านี้ช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างราบรื่น ลดความเสี่ยงในการถูกตรวจสอบภาษีย้อนหลัง และสร้างความเชื่อมั่นให้คู่ค้าต่างประเทศ การวางแผนภาษีล่วงหน้าและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญจะทำให้ทุกธุรกรรมระหว่างประเทศเป็นไปอย่างถูกต้องและมั่นคง

 

อ่านบทความน่ารู้เกี่ยวกับภาษี เพิ่มเติม คลิกที่นี่
Source : Inflow Accounting