โลกที่เราอยากเห็นกับโลกแห่งความเป็นจริง ไทยเป็นกลางเพื่อความอยู่รอด

เป็นห่วงอย่างยิ่งกับดัชนีหุ้นของไทย SET INDEX ที่ปัจจุบันประมาณ 1,159 เมื่อเทียบกับวันที่รัฐบาลแพทองธารเริ่มต้นกลางเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว SETที่1,303 แสดงว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนสูญหายไป 11% หรือเป็นเงินประมาณ 49,500 ล้านเหรียญ ในจำนวนนี้บางส่วนอาจออกไปนอกประเทศ สังเกตที่ตลาดหุ้นสิงคโปร์ขยับขึ้นในช่วงเดียวกัน
เมื่อกล่าวถึงมหาอำนาจก็คงสรุปได้เพียงแค่สองประเทศคือ สหรัฐและจีน ที่มีพลังเพียงพอที่จะส่งผลกระทบถึงแทบทุกหย่อมหญ้าในโลก ความสนใจระยะนี้พุ่งไปที่ทำเนียบขาว ทรัมป์ 2 เรียกร้องความสนใจได้ทุกวัน แต่การขยับของจีนเป็นสิ่งที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง
ปักกิ่งเพิ่งจะเสร็จสิ้นการประชุมประจำปีพร้อมกันของสภานิติบัญญัติ สภาประชาชนแห่งชาติ หน่วยงานที่ปรึกษาทางการเมือง และสภาที่ปรึกษาการเมืองของประชาชนจีน ซึ่งรายงานผลสำเร็จของรัฐบาลภายใต้นายกรัฐมนตรีหลี่เฉียง
ในวาระสำคัญนี้ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงส่งสัญญาณว่าจะเน้นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและวางแผนในอนาคตโดยเน้นนวัตกรรม
จีนตั้งเป้าหมายการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจต่อปีประมาณ 5% และอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ที่ 2% ต้องการสร้างงานใหม่ในเขตเมืองมากกว่า 12 ล้านตำแหน่ง และควบคุมอัตราการว่างงานในเขตเมืองให้อยู่ที่ 5.5%
ปักกิ่งจะออกพันธบัตร 4.4 ล้านล้านหยวน เพื่อแก้ไขปัญหาของรัฐบาลท้องถิ่น ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ซื้อที่ดินว่างเปล่า และบ้านที่ขายไม่ออก ชำระหนี้ให้กับผู้รับเหมาของรัฐบาล และระดมทุนโดยออกพันธบัตรระยะยาวต่างๆอีกเป็นจำนวนมาก
รัฐบาลจีนยอมรับปัญหาหนี้และต้องการแก้ไขโดยเร่งด่วน เนื่องจากต้องรีบฟื้นฟูประเทศ เพื่อเตรียมเผชิญหน้ากับนโยบายของสหรัฐที่จะปิดกั้นหรือชะลอนวัตกรรมเทคโนโลยีชั้นสูงต่างๆที่จีนกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วและเป็นคู่แข่งที่ทางตะวันตกเริ่มเกิดความกังวล จีนจะป้องกันการชงักของห่วงโซ่อุปทานและตั้งใจแน่วแน่ที่จะลดการพึ่งพาตะวันตก
จีนกำลังให้ความสนใจกับการดูแลเด็ก ดูแลสุขภาพ เงินบำนาญและสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคกล้าใช้จ่ายหรือลงทุน หลังจากที่มีความกังวลต่อเนื่องจากโควิดจนถึงปัจจุบัน ชาวจีนลดหรืองดการใช้จ่าย ทำให้สินค้าที่ผลิตในจีนล้นตลาด และกลายเป็นความกดดันให้ส่งออก มากกว่าปกติ ซึ่งเริ่มเป็นปัญหาต่อประเทศที่เป็นลูกค้าของจีน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระแสต่อต้านจีนบ้างแล้ว
ขณะเดียวกันสหรัฐกำลังเคว้งคว้าง ทรัมป์2 สร้างความปวดหัวให้กับนักการเมืองฝ่ายรีพับลิกัน ซึ่งไม่สามารถจะเผชิญหน้ากับประชาชนได้โดยภูมิใจเหมือนที่เคยหาเสียงไว้ การที่ทรัมป์สัญญาซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าจะแก้ปัญหาทุกอย่างได้ภายในวันแรกที่รับตำแหน่ง หรือจะบังคับให้คณะรัฐมนตรีแสดงผลงานภายในเจ็ดวันแรกหรือจะหยุดสงครามในยูเครนภายในวันแรก แต่เมื่อผ่านไปแล้วเกินกว่า 50 วันกลับกลายเป็นการรื้อใหญ่ แทบทุกหน่วยงานของรัฐบาลกลางจนเกิดการเสียขวัญ ประกาศภาษีศุลกากรในอัตราและเวลาที่เปลี่ยนกลับไปกลับมาจนไม่มีความน่าเชื่อถือ
แต่เนื่องจากสหรัฐเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกจึงทำให้ผู้นำแต่ละประเทศไม่ประมาท แม้กระทั่งประเทศที่เป็นมิตรและมีความไว้วางใจกันในเรื่องความมั่นคง แลกเปลี่ยนข่าวกรองซึ่งกันและกัน ก็ไม่สามารถใช้ประเพณีของความสัมพันธ์ที่มีกับอเมริกาแบบเดิมอีกต่อไป
แคนาดากับประชาคมยุโรปเพิ่มความร่วมมือด้วยความจำเป็นเร่งด่วน เป็นการผนึกกำลังเพื่อความอยู่รอด ขณะเดียวกันยิ่งทำให้รัฐบาลทรัมป์2 เพิ่มทิฏฐิและยกระดับการเผชิญหน้า โดยประกาศว่าอเมริกาไม่มีความจำเป็นจะต้องพึ่งพาใคร ประเทศอื่นๆ ต่างหากที่ต้องพึ่งพาสหรัฐฯ
ขณะนี้ชาวอเมริกันเริ่มแสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรงต่อนโยบายของรัฐบาลที่ทำให้สินค้ามีราคาแพงขึ้น ความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นของสหรัฐทรุดลงอย่างรวดเร็ว มูลค่าของบริษัทใหญ่ 500 บริษัทแรกหดหายไปกว่า 5ล้านล้านเหรียญในสองสัปดาห์ที่ผ่านมา
ความศรัทธาและไว้วางใจด้านความมั่นคงกลายเป็นประเด็นใหญ่ การขู่บังคับให้ยูเครนยอมรับเงื่อนไขหยุดยิงชั่วคราวขณะที่สหรัฐ ช็อกโลกโดยการหันไปเข้าข้างรัสเซียอย่างออกหน้าออกตา ทำให้เกิดความสับสนในกลุ่มพันธมิตรเดิม และกลายเป็นการวิจารณ์ถึงความเสื่อมของแบรนด์ USA
การเตรียมพร้อมรับศึกทางการค้าโดยประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้าจากอเมริกานั้น มีการปฏิบัติแตกต่างกัน ไทยเป็นประเทศหนึ่งที่คาดว่าจะเป็นเป้าหมายของการเก็บภาษีศุลกากรซึ่งจะประกาศในต้นเดือนเมษายน หรืออาจจะมีการวิ่งเต้นเจรจาเพื่อให้เลื่อนไปอีก
ไทยอยู่ในภาวะลำบาก ถึงแม้ว่ารัฐบาลยืนยันว่าได้เตรียมพร้อมในเรื่องนี้แล้ว แต่ขณะเดียวกันหลายฝ่าย โดยเฉพาะผู้นำด้านเอกชน ยังไม่เห็นรายละเอียดของนโยบายและทีมงานที่จะเจรจา
ที่น่าเป็นห่วงคือมาตรการที่ทางตะวันตกได้คาดโทษไว้แล้วเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนวิกฤติอุยกูร์ การที่ไทยเป็นประเทศคู่ค้าสำคัญกับประชาคมยุโรปและสหรัฐอเมริกาจึงทำให้ต้องมีความระมัดระวัง และละเอียดอ่อนกับมาตรการที่จะถูกนำมาใช้ ขณะนี้เศรษฐกิจของไทยเปราะบางมากจึงควรหาทางประนีประนอมผ่อนหนักให้เป็นเบา ถึงแม้ว่ารัฐบาลไทยจะมีเหตุผลและมั่นใจว่าได้ทำทุกอย่างโดยรอบคอบแล้ว
รัฐสภายุโรปออกแถลงในวันที่ 12 มีนาคม 2025 “เรียกร้องให้คณะกรรมาธิการใช้ประโยชน์จากการเจรจา FTA เพื่อกดดันให้ไทยปฏิรูปกฎหมายปราบปราม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมาย lese-majesty ปล่อยนักโทษการเมือง หยุดการเนรเทศผู้ลี้ภัยอุยกูร์ และให้สัตยาบันอนุสัญญา ILO หลักทั้งหมด เรียกร้องให้ประเทศสมาชิกระงับสนธิสัญญาการส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับสาธารณรัฐประชาชนจีน”
และอาจเป็นไปได้ว่ารัฐบาลสหรัฐฯจะประกาศมาตรการคล้ายคลึงกัน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกและอื่นๆ
ถ้ารัฐบาลไทยมั่นใจว่าทำด้วยความรอบคอบ ไม่คิดว่าเป็นสิ่งที่ผิดพลาด ก็ต้องยอมรับผลกระทบที่เกิดขึ้น
หากนำมาสู่ความเสียหายต่อประเทศ ประชาชนก็จะตัดสินโดยวิธีใดวิธีหนึ่งเช่นการเลือกตั้ง
แต่หากคิดว่าได้ทำผิดพลาดไปแล้ว เห็นว่าผลกระทบจากการกระทำนั้นเป็นผลเสียมากกว่าผลดี ก็ควรจะแสดงความรับผิดชอบ ด้วยการขอโทษอย่างจริงใจ เสนอแนวทางแก้ไขหรือแสวงหาความคิดเห็นซึ่งมาสู่การแก้ไข แล้วถอดบทเรียนนี้ไปเพื่อปรับปรุงการตัดสินใจในอนาคต
บุคคลหรือรัฐบาลย่อมทำผิดได้ การทำผิดเป็นสิ่งปกติ และเป็นโอกาสแห่งการเรียนรู้และปรับตัว
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เราต้องเผชิญหน้าปัจจุบันคือปัญหาเศรษฐกิจ
“ประเทศที่คาดโทษเรา ทั้งยุโรปและอเมริกา เปรียบเสมือนลูกค้าสำคัญ” เราได้เปรียบดุลการค้ากับสองกลุ่มนี้มาก เพียงแค่เขาขยับเตือนเราในเรื่องที่เขาคิดว่าสำคัญ แม้เราอาจไม่เห็นด้วย แต่การเป็นผู้บริหารประเทศจะต้องระมัดระวังว่า “โลกที่เราอยากเห็นกับโลกแห่งความเป็นจริง” ในปัจจุบันนั้นแตกต่างกันเพียงใด เราควรจะตัดสินใจในเรื่องสำคัญเหล่านี้อย่างไร
เป็นห่วงอย่างยิ่งกับดัชนีหุ้นของไทย SET INDEX ที่ปัจจุบันประมาณ 1,159 เมื่อเทียบกับวันที่รัฐบาลแพทองธารเริ่มต้นกลางเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว SETที่1,303 แสดงว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนสูญหายไป 11% หรือเป็นเงินประมาณ 49,500ล้านเหรียญ ในจำนวนนี้บางส่วนอาจออกไปนอกประเทศ สังเกตที่ตลาดหุ้นสิงคโปร์ขยับขึ้นในช่วงเดียวกัน
การรักษาความเป็นกลางให้สมดุลย์ระหว่างมหาอำนาจทั้งสอง และวิเคราะห์ให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจในเรื่องที่ถูกท้วงติงโดยประเทศที่เราได้เปรียบดุลการค้า เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ซับซ้อน จึงมองได้หลายด้านและมีความเห็นต่างกันไป
แต่เมื่อไม่ได้ตัดไฟแต่ต้นลม ก็ต้องรีบผ่อนหนักให้เป็นเบา ปรับนโยบายให้เป็นกลางโดยแท้ จะทำให้หยุดการรั่วไหล และจะมีโอกาสฟื้นฟูเศรษฐกิจที่สุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งครับ







