Stay Calm, Keep Investing

Stay Calm, Keep Investing

การลงทุนในสินทรัพย์ทั่วไปอย่าง หุ้น ตราสารหนี้ ทองคำ สำหรับการจัดพอร์ตการลงทุนหรือ Asset Allocation นักลงทุนอาจพิจาณาเพิ่มทางเลือกในสินทรัพย์นอกตลาด Private Asset เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนและความผันผวน

ตลาดการลงทุนทั่วโลก เผชิญกับความผันผวนที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ถึงแม้ว่าการปรับตัวขึ้นหรือลงของตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา จากสถานการณ์และปัจจัยต่างๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่าความแตกต่างของปัจจุบันกับอดีตมีด้วยกัน 2 ประการที่สำคัญคือ

1. ตลาดหุ้นทั่วโลกโดยส่วนใหญ่อยู่ในระดับที่สูง อาทิ สหรัฐฯ ดัชนีตลาดหุ้นอย่าง S&P 500 ทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือน ก.พ. 2025 และถึงแม้ว่าตลาดหุ้นในปัจจุบันจะปรับลดลงมาบ้างแต่ก็มีการซื้อขายบนระดับ 12 Forward P/E ที่ 20.7X เทียบเท่าระดับ +0.67 S.D. ของค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี อิง Bloomberg Consensus กล่าวคือราคาหุ้นแพงเมื่อเทียบกับอดีต

2. ความเปลี่ยนแปลงของระเบียบโลก ซึ่งอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ในยุคสมัยของทรัมป์ 2.0 โดยเฉพาะนโยบายด้านต่างประเทศ อาทิ ภาษีศุลกากร ที่ถูกปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญต่อคู่ค้าต่างๆ ทั่วโลก และเราเชื่อว่าการขึ้นภาษีครั้งนี้ของสหรัฐฯ ไม่ได้เป็นเพียงคำขู่ โดยจะมีการขึ้นภาษีจริงรายประเทศ ตามแต่สัดส่วนการเกินดุลการค้าที่มีต่อสหรัฐฯ ส่วนการเจรจาจะตามมาภายหลัง ซึ่งขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละประเทศในการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ให้เหมาะสมกับบริบทของตน 

ความผันผวนที่เกิดขึ้นระหว่างการลงทุนจากปัจจัยลบต่างๆ ที่ได้กล่าวไปข้างต้น เป็นสิ่งที่ทำให้นักลงทุนต้องกลับมาพิจารณาพอร์ตการลงทุนของตัวเอง ว่ามีสัดส่วนการลงทุนในประเทศที่อาจได้รับความเสี่ยงต่างๆ มากน้อยเพียงใด และหุ้นสหรัฐฯ ที่เป็นสัดส่วนหลักของพอร์ตการลงทุนของหลายๆ คน เป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมใด และบริษัทเหล่านั้นมีความสามารถในการแข่งขันมากน้อยแค่ไหน มีความแข็งแกร่งของกระแสเงินสด งบดุลและการเติบโตของผลประกอบการอย่างไร 

เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ปัจจุบัน จุดแข็งที่สำคัญของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐฯ คือแนวโน้มการเติบโตของผลประกอบการที่สูงในปี 2025-2026 แต่มีข้อเสียที่คือระดับราคาที่ไม่ถูก ดังนั้น เมื่อราคาหุ้นปรับฐานลงมารับกับความเสี่ยงต่างๆ หรือปัจจัยลบในระยะสั้น ก็อาจมองเป็นโอกาสในการลงทุนในลักษณะทยอยซื้อสะสมเช่นกัน นอกจากนั้นการมองหาโอกาสในการลงทุนในภูมิภาคเอเชียโดยเฉพาะประเทศที่มีระดับราคา (Valuation) ที่ไม่สูง อย่างเวียดนาม และจีน (ฮ่องกง) เป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องกลับมาพิจารณาและใช้เป็นทางเลือกของการจัดพอร์ตการลงทุนในอนาคต

นอกจากการลงทุนในสินทรัพย์ทั่วไปอย่าง หุ้น ตราสารหนี้ ทองคำ สำหรับการจัดพอร์ตการลงทุนหรือ Asset Allocation นักลงทุนอาจพิจาณาเพิ่มทางเลือกในสินทรัพย์นอกตลาด Private Asset เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนและความผันผวนจากการลงทุน เพราะมีค่าสหสัมพันธ์ (Correlation) กับสินทรัพย์การลงทุนประเภทอื่นๆ ที่ต่ำ สินทรัพย์นอกตลาดนี้จึงเป็นหนึ่งในทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับการสร้างผลตอบแทนให้ได้ตามเป้าหมาย 

ทั้งนี้การลงทุนสินทรัพย์นอกตลาด นักลงทุนต้องเผชิญข้อจำกัดในการเข้าถึงข้อมูล และความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง ดังนั้นการพิจารณาเลือกลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาดจำเป็นต้องใช้ความเชี่ยวชาญในระดับสูง การเลือกกองทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์นอกตลาดจำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงหลายปัจจัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประสบการณ์ของทีมผู้จัดการกองทุน ผลงานในอดีตและปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญตามประเภทของสินทรัพย์ที่ลงทุน นอกจากนี้นักลงทุนควรพิจารณาลงทุนในสัดส่วนที่เหมาะสมและสอดคล้องกับระดับการยอมรับความเสี่ยงของนักลงทุน

ตลาดหุ้นที่เผชิญกับความไม่แน่นอน เป็นตลาดที่เราต้องกลับมามองที่พื้นฐานของสิ่งที่เราลงทุนเป็นสำคัญ แต่ก็ไม่ควรมองข้ามปัจจัยด้าน Sentiment หรืออารมณ์ของตลาดและความเชื่อมั่นของนักลงทุน ซึ่งทำให้ราคาหุ้นในระยะสั้นไม่ได้สะท้อนราคาที่อิงตามปัจจัยพื้นฐานซึ่งเรามองว่าเป็นโอกาสในการลงทุนในระยะกลาง-ยาวในสินทรัพย์ต่างๆ ที่มีคุณภาพ สิ่งที่เราสามารถบริหารจัดความความเสี่ยงในระยะสั้น ทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการทยอยซื้อ (DCA) ตลอดจนการกระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์ และเมื่อนักลงทุนคลายความกังวลหรือเห็นความชัดเจนในประเด็นต่างๆ เรามองว่าการที่เรามีสินทรัพย์ที่มีคุณภาพจะทำให้นักลงทุนได้ประโยชน์จากการมี Position ในสินทรัพย์การลงทุนต่างๆ