“Trump: The Art of the Deal 2.0”

การลงทุนปี 2025 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงเป็นตลาดหุ้นที่เราแนะนำเพราะเป็นตลาดหุ้นที่มีความแข็งแกร่งทั้งด้านเศรษฐกิจ คุณภาพของผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มเติบโตสูงและเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีโลก
นับตั้งแต่วันที่ 20 ม.ค. 2025 หลังทรัมป์ทำพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 เราคาดว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญทั่วโลกภายใต้การบริหารงานของเขาและพรรครีพับบลิกันจากนี้ไปอีกราว 4 ปี ประเมินความเปลี่ยนแปลงต่างๆ จะเกิดขึ้นต่อทั้งเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และตลาดการลงทุนทั่วโลก จากการรวบรวมข้อมูลและประเด็นสำคัญที่ทรัมป์เคยพูดทั้งในช่วงหาเสียงจนถึงปัจจุบัน มีหลากหลายประเด็นที่น่าสนใจ ได้แก่
1. ประเด็นด้านเศรษฐกิจและการค้าโลก ยกตัวอย่าง เช่น การขึ้นภาษีศุลกากรต่อคู่ค้าทั่วโลก ในกรอบ 20-60% โดยจะเน้นกลุ่มประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ในระดับสูง โดยเฉพาะจีน
2. ประเด็นด้านสังคมและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแบบสุดขั้ว เช่น การยกระดับมาตรการจัดการกับผู้อพยพที่เข้มงวดและการปรับลดงบประมาณด้านสวัสดิการสาธารณสุข ในส่วนของมาตรการภายในประเทศ สำหรับมาตรการและข้อเสนอที่กระทบต่อประเทศอื่น ตามที่เราเห็นในสื่อต่างๆ ได้แก่ การประกาศความต้องการซื้อเกาะกรีนแลนด์เขตปกครองตัวเองแบบพิเศษซึ่งอยู่ภายใต้ประเทศเดนมาร์ก การยึดคลองปานามาและการผนวกรวมแคนาดาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงของประเทศ ประโยชน์ด้านทรัพยากรธรรมชาติ และการชิงความได้เปรียบด้านการค้า
3. ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม ทรัมป์สนับสนุนอุตสาหกรรมพลังงานฟอสซิลต่างจากยุคไบเดนอย่างชัดเจน และมีโอกาสลดการสนับสนุนพลังงานสะอาด นอกจากนั้นสหรัฐฯ มีโอกาสที่จะถอนตัวจากสนธิสัญญาปาริส ซึ่งเป็นสนธิสัญญาเพื่อจะลดโลกร้อน จาก 3 ประเด็นที่เราได้กล่าวมาข้างต้นในด้านจุดยืน-มุมมองและแนวทางการสื่อสารของทรัมป์ มีความคล้ายคลึงกับหลักการเจรจาและการทำธุรกิจของเขาก่อนที่จะเข้าสู่เส้นทางการเมือง ดังเช่นหนังสืออัตชีวประวัติของเขาที่ชื่อ “Trump: The Art of the Deal” เขียนโดย Donald J. Trump และ Tony Schwartz ซึ่งถูกตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1987 โดยสำนักพิมพ์ Random House
หากมองแนวคิดและวิธีการของทรัมป์กับเหตุการณ์ปัจจุบันผ่านหนังสือ Trump: The Art of the Deal เช่น “Think Big” คิดใหญ่เข้าไว้ โดยทรัมป์จะคิด-ทำอะไรที่ยิ่งใหญ่เสมอ และกล้าตัดสินใจในเรื่องสำคัญ เห็นได้จากการให้ความเห็นเรื่องการขยายเขตแดนของสหรัฐฯ อย่างการผนวกแคนนาดา ยึดคลอง ปานามา และเกาะกรีนแลนด์ เป็นต้น ความคิดเห็นเหล่านี้ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าเป็นสิ่งที่ถูกศึกษาและผ่านการคิดมาอย่างดีจนทรัมป์ประเมินว่าพื้นที่ดังกล่าวมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ทั้งด้านทรัพยากร การค้า และความมั่นคงต่อสหรัฐฯ ดังนั้นการทำเรื่องที่ใหญ่และแสดงท่าทีที่ดูแข็งกร้าวเพิ่มโอกาส สร้างข้อได้เปรียบและจะนำไปสู่การสร้างทางเลือกในการเจรจา “Always leaves the door open.” และจะสร้างการเป็นที่สนใจของสื่อมวลชน “Get the word out”
อีกทั้งยังสามารถใช้ความสนใจนี้ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่กว่าในการเบี่ยงประเด็นที่อาจเป็นจุดด้อยของตน จากนั้นจึงตั้งข้อเสนอที่ได้เปรียบและเป็นประโยชน์ต่อสหรัฐฯ อีกหนึ่งตัวอย่างที่ควรศึกษาคือนโยบายด้านพลังงานฟอสซิล อย่าง Shale Oil และ Shale Gas ซึ่งสหรัฐฯ เป็นผู้ผลิตอันดับหนึ่งของโลก
ในอนาคตพลังงานประเภทนี้อาจมีความต้องการใช้ที่ลดลง ตามกระแสการเปลี่ยนแปลงสู่พลังงานสะอาดของโลกที่มีการใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันการมีแหล่งทรัพยากรนี้คือจุดแข็งของสหรัฐฯ ซึ่งทรัมป์พยายามจะชูขึ้นมาใช้เพื่อต่อรองกับคู่ค้าอื่นๆ หรือ “Use Your Leverage” ตามแนวคิดของเขา สิ่งต่างๆ ที่ทำล้วนแล้วแต่มีจุดมุ่งหมายสำคัญที่สุดคือการทำให้สหรัฐฯ กลับมายิ่งใหญ่และคงความได้เปรียบในด้านต่างๆ โดยเฉพาะความได้เปรียบด้านเศรษฐกิจและสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นต่อคนสหรัฐฯ
สำหรับตลาดการลงทุนโลกในยุคทรัมป์ 2.0 คาดว่าจะเผชิญกับความผันผวนที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตลอดวาระการดำรงตำแหน่งของทรัมป์ เบื้องต้นเราขอแบ่งเป็นสองช่วงเวลา เริ่มจากช่วง 2 ปีแรก (2025-2026) และ 2 ปีหลัง (2027-2028) ที่ทรัมป์ก้าวขึ้นมาตำแหน่ง โดยใน 2 ปีแรกนั้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงขยายตัวต่อเนื่องอ้างอิงจากการประเมินของ IMF ในบทวิเคราะห์ “World Economic Outlook: ณ เดือน ต.ค. 2024 (รายงานล่าสุด) โดยประเมิน GDP สหรัฐฯ ปี 2024-2025 เติบโต 2.8% และ 2.2% ตามลำดับ
ในขณะที่แนวโน้มการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ ในดัชนี S&P 500 อิง FactSet, Earnings Insight ณ วันที่ 10 ม.ค. 2025 ประเมิน EPS Growth ปี 2024-2025 ที่ระดับ 9.4%YoY และ 14.8%YoY ตามลำดับ กล่าวคือในช่วง 2 ปีแรกตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้อานิสงค์เชิงบวกจากความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจและการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนที่สูง ซึ่งทรัมป์เองก็ให้ความสำคัญกับตลาดการลงทุน ดังที่เราเห็นข้อเสนอการปรับลดอัตราภาษีนิติบุคคลของบริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ รวมถึงการปรับลดกฎเกณฑ์ (Deregulation) ทั้งนี้ความท้าทายของสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นในช่วง 2 ปีหลัง (2027-2028) เพราะยากที่จะคาดเดาถึงความเปลี่ยนแปลงที่จะขึ้นในอนาคต ตลอดจนความคืบหน้าของความสำเร็จด้านนโยบายและข้อเสนอต่างๆ ของสหรัฐฯ ต่อประเทศอื่นๆ ว่าจะส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจมากน้อยเพียงใดบนจุดเปลี่ยนของเทคโนโลยี-สิ่งแวดล้อมและปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลก
แม้จะเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ในด้านการลงทุนปี 2025 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงเป็นตลาดหุ้นที่เราแนะนำเพราะเป็นตลาดหุ้นที่มีความแข็งแกร่งทั้งด้านเศรษฐกิจ คุณภาพของผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มเติบโตสูงและเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีโลก ซึ่งปัจจุบันยังหาตลาดหุ้นอื่นที่ดีพร้อมมาทดแทนไม่ได้ ดังนั้นการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ บนปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งจึงมีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดีต่อเนื่องจากปี 2024