เจาะลึก M&A Thailand 2025 : ถอดรหัสสูตรความสำเร็จของดีลยุคใหม่ที่ต้องมองให้รอบด้าน

เจาะลึก M&A Thailand 2025 : ถอดรหัสสูตรความสำเร็จของดีลยุคใหม่ที่ต้องมองให้รอบด้าน

ในโลกธุรกิจที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การทำ M&A ไม่ใช่การแข่งขันว่าใครจะปิดดีลได้เร็วกว่า แต่คือการวางแผนอย่างรอบคอบ เข้าใจเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ และประเมินทุกมิติขององค์กรอย่างถี่ถ้วน ดังนั้นนักลงทุนที่มองการณ์ไกล และให้เวลากับการตรวจสอบสถานะกิจการอย่างรอบด้าน พร้อมใช้ข้อมูลเชิงลึกเป็นเข็มทิศในการตัดสินใจ คือผู้ที่จะคว้าโอกาสสร้างดีลที่ยั่งยืนและสร้างมูลค่าได้ในระยะยาว

KEY

POINTS

  • สูตรความสำเร็จของดีลยุคใหม่คือการใช้ "การมองให้รอบด้าน" (Holistic approach) ซึ่งประเมินการเสริมกลยุทธ์และสร้างคุณค่าร่วมกัน แทนการพิจารณาแค่ตัวเลขทางการเงินและกฎหมายแบบเดิม
  • การตรวจสอบสถานะกิจการ (Due Diligence) มีความซับซ้อนและใช้เวลานานขึ้น โดยต้องครอบคลุมมิติเชิงพาณิชย์ (Commercial Due Diligence) และการวิเคราะห์การสร้างมูลค่า (Value Creation Analysis) ควบคู่ไปกับการเงิน เพื่อประเมินศักยภาพการเติบโตในอนาคต
  • Synergy กลายเป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้นๆ ในการตัดสินใจ โดยนักลงทุนมุ่งเน้น "ศักยภาพที่เกิดขึ้นหลังควบรวม" และต้องประเมินบนพื้นฐานความเป็นจริงของโมเดลธุรกิจและความสามารถในการดำเนินงาน ไม่ใช่แค่ความคาดหวัง
  • ความสำเร็จของดีลที่ยั่งยืนไม่ได้วัดที่ความเร็วในการปิดดีล แต่มาจากการวางแผนอย่างรอบคอบ การประเมินทุกมิติขององค์กรอย่างถี่ถ้วน และการใช้ข้อมูลเชิงลึกเป็นแนวทางในการตัดสินใจเพื่อสร้างมูลค่าในระยะยาว

ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนอย่างรวดเร็ว แนวโน้มการควบรวมและเข้าซื้อกิจการ (Merger and acquisition : M&A) กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ เดิมทีนักลงทุนมักให้ความสำคัญกับการพิจารณาตัวเลขทางการเงิน และการวิเคราะห์ความเสี่ยงด้านกฎหมายหรือภาษีเป็นหลัก แต่ในปัจจุบันที่โลกธุรกิจมีความซับซ้อนมากขึ้น กรอบความคิดแบบเดิมนั้นอาจไม่เพียงพออีกต่อไป 

จากรายงาน Doing Deals in Thailand 2025 ของเคพีเอ็มจี ประเทศไทย พบว่าหัวใจสำคัญของการทำดีลให้สำเร็จในยุคนี้ คือการเตรียมความพร้อมอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะการตรวจสอบสถานะกิจการ (Due Diligence) ที่ต้องครอบคลุมหลายมิติมากกว่าที่เคย

ผมมองว่าแนวทางที่องค์กรและนักลงทุนควรนำมาใช้ในการพิจารณา M&A ยุคนี้คือ “การมองให้รอบด้าน” (Holistic approach) เพราะการควบรวมกิจการในปัจจุบันไม่ใช่แค่การซื้อสินทรัพย์หรือรวมงบการเงิน แต่คือการประเมินว่าองค์กรเป้าหมายจะสามารถเสริมกลยุทธ์ เสริมศักยภาพ และสร้างคุณค่าร่วมกันได้อย่างไร ไม่ต่างจากการแต่งงาน ที่เราต้องทำความเข้าใจคู่ชีวิตให้ลึกซึ้ง ไม่ใช่แค่การดูจากสถานะในทะเบียนสมรส

ปัจจัยที่ช่วยสร้างความแตกต่างและช่วยให้ M&Aประสบความสำเร็จ คือการตรวจสอบสถานะกิจการเชิงลึก (Due diligence) ควบคู่กับการวิเคราะห์ Synergy อย่างละเอียดรอบคอบ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าดีลนี้สามารถสร้างคุณค่าและนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีได้ในระยะยาว

Due Diligence ยุคใหม่: ตรวจสอบให้ลึก มองให้ครบ ก่อนตัดสินใจทำดีล

จากรายงาน Doing Deals in Thailand 2025 พบว่าเกือบครึ่งขององค์กรที่อยู่ระหว่างการควบรวมกิจการ ใช้เวลานานกว่า 1 ปีในการปิดดีล เพิ่มขึ้นจากผลสำรวจปี 2019 ที่มีเพียงร้อยละ 30 เท่านั้น เป็นสัญญาณที่ชี้ว่าความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้นของกระบวนการตรวจสอบสถานะกิจการ ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการวิเคราะห์ตัวเลขทางบัญชี แต่รวมถึงการประเมินศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจในอนาคตด้วย

จากประสบการณ์ของผม ภายหลังสถานการณ์โควิด-19 พบว่าลูกค้าหลายรายหันมาให้ความสำคัญกับการตรวจสอบการประมาณการทางการเงินและแผนธุรกิจมากยิ่งขึ้น การตรวจสอบสถานะด้านการเงิน (Financial Due Diligence) จึงมักดำเนินควบคู่กับการตรวจสอบเชิงพาณิชย์ (Commercial Due Diligence) และการวิเคราะห์การสร้างมูลค่า (Value Creation Analysis) เพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาดจากการดูข้อมูลเพียงผิวเผิน และเพื่อประเมินได้ว่าดีลนี้จะนำพาองค์กรให้เติบโตไปในทิศทางใด

ด้วยเหตุนี้ นักลงทุนจึงจำเป็นต้องเข้าใจแผนธุรกิจในหลากหลายมิติ ทั้งภาพรวมตลาด สภาพการแข่งขัน การแบ่งกลุ่มลูกค้า กลยุทธ์ราคา โอกาสการเติบโต พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ตลอดจนความเสี่ยงจากแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต ข้อมูลเหล่านี้ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการตัดสินใจบนพื้นฐานข้อเท็จจริงและศักยภาพเชิงกลยุทธ์ของดีล

มอง Synergy อย่างมีเหตุผล ตามข้อเท็จจริง 

ข้อมูลจากรายงานชี้ให้เห็นว่า นักลงทุนในปัจจุบันให้ความสำคัญกับ Synergy มากขึ้น โดยขยับขึ้นมาเป็นหนึ่งในปัจจัยอันดับต้น ๆ ที่ใช้ประกอบการตัดสินใจ จากเดิมที่อยู่ในอันดับหกเมื่อปี 2019 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าองค์กรไม่ได้มองแค่ราคาหรือขนาดของดีลอีกต่อไป แต่ให้ความสำคัญกับ “ศักยภาพที่เกิดขึ้นหลังควบรวม” มากกว่า นักลงทุนจึงต้องประเมินว่าองค์กรเป้าหมายมีโมเดลธุรกิจ ตำแหน่งทางการตลาด หรือความสามารถในการดำเนินงาน ที่สามารถเสริม Synergy กับธุรกิจของตนได้จริง ไม่ใช่แค่แนวคิดที่สวยหรูเท่านั้น แต่ต้องสามารถดำเนินการได้จริง

นอกจากกลยุทธ์ที่สอดคล้องกันแล้ว ในแง่ของ Synergy การประเมินศักยภาพของการดำเนินงานก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม นักลงทุนควรพิจารณาทั้งกระบวนการภายใน ห่วงโซ่อุปทาน ความสามารถในการผลิต โครงสร้างพื้นฐานด้านไอที และความพร้อมของบุคคลากร หากละเลยรายละเอียดเหล่านี้ท่านอาจต้องเจอกับปัญหาที่ไม่คาดคิดที่จะตามมาในภายหลัง 

มีหลายกรณีที่ผมพบว่า การตั้งเป้าหมาย Synergy ที่เกินจริงส่งผลให้ดีลไม่ประสบความสำเร็จ นักลงทุนจึงจำเป็นต้องวิเคราะห์ Synergy บนข้อเท็จจริง ไม่ใช่ความคาดหวัง พร้อมวางแผนการบูรณาการที่ชัดเจน ทั้งในเชิงกลยุทธ์และการปฏิบัติ เพื่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันที่สามารถจับต้องได้ในระยะยาว

การทำดีลที่ยั่งยืน เริ่มจากการตรวจสอบและวิเคราะห์ให้รอบด้าน

ในโลกธุรกิจที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การทำ M&A ไม่ใช่การแข่งขันว่าใครจะปิดดีลได้เร็วกว่า แต่คือการวางแผนอย่างรอบคอบ เข้าใจเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ และประเมินทุกมิติขององค์กรอย่างถี่ถ้วน ดังนั้นนักลงทุนที่มองการณ์ไกล และให้เวลากับการตรวจสอบสถานะกิจการอย่างรอบด้าน พร้อมใช้ข้อมูลเชิงลึกเป็นเข็มทิศในการตัดสินใจ คือผู้ที่จะคว้าโอกาสสร้างดีลที่ยั่งยืนและสร้างมูลค่าได้ในระยะยาว