ก.ล.ต.กล่าวโทษ 12 ราย คดีทุจริต ตกแต่งงบ JKN ส่งต่อ DSI พร้อมสั่งยึดทรัพย์ ห้ามออกนอกประเทศ

ก.ล.ต.กล่าวโทษ 12 ราย คดีทุจริต ตกแต่งงบ JKN  ส่งต่อ DSI พร้อมสั่งยึดทรัพย์ ห้ามออกนอกประเทศ

ก.ล.ต. ขยายผลการตรวจสอบโดยกล่าวโทษผู้กระทำความผิด 12 ราย ต่อ DSI กรณีทุจริตและตกแต่งงบการเงินของ JKN และกรณีขายหุ้น JKN โดยอาศัยข้อมูลภายใน รวมทั้งมีคำสั่งยึดอายัดทรัพย์สิน และห้ามมิให้ออกนอกราชอาณาจักรไว้ก่อนเป็นการชั่วคราว กับผู้กระทำผิดกรณีทุจริตและตกแต่งงบการเงิน 4 ราย

KEY

POINTS

  • ก.ล.ต. กล่าวโทษบริษัท JKN และบุคคลที่เกี่ยวข้องรวม 12 ราย ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ใน 3 กรณีหลัก คือ ทุจริต, ตกแต่งงบการเงิน และใช้ข้อมูลภายในขายหุ้น
  • กรณีทุจริตและตกแต่งงบการเงินเกี่ยวข้องกับการสร้างธุรกรรมซื้อขายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ที่ไม่มีจริง ทำให้ JKN เสียหายกว่า 714 ล้านบาท
  • มีการกล่าวโทษ 9 รายในกรณีขายหุ้น JKN โดยอาศัยข้อมูลภายในเรื่องการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้
  • ก.ล.ต. มีคำสั่งยึดอายัดทรัพย์สินของผู้กระทำผิดในคดีทุจริต 4 ราย ได้แก่ นายจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์, นางสาวพิมพ์อุมา จักราจุฑาธิบดิ์, นางสาวพิสมัย ห่างไธสง และนางสาวกมลรัตน์ มงคลครุธ เป็นเวลา 180 วัน
  • คณะกรรมการ ก.ล.ต. ยังมีคำสั่งห้ามบุคคลทั้ง 4 รายดังกล่าวออกนอกราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว และจะยื่นเรื่องต่อศาลเพื่อขยายเวลาต่อไป

ก.ล.ต. ขยายผลการตรวจสอบโดยกล่าวโทษบริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (JKN) อดีตกรรมการและอดีตผู้บริหาร ผู้บริหาร และบุคคลที่เกี่ยวข้อง รวม 12 ราย ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กรณีส่งหรือเปิดเผยงบการเงินและแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี (แบบ 56-1 One Report) โดยมีงบการเงินที่แสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงในสาระสำคัญที่ควรแจ้ง กรณีร่วมกันทุจริตและตกแต่งงบการเงินของ JKN ในช่วงปี 2565 ถึงปี 2566 และกรณีขายหุ้น JKN โดยอาศัยข้อมูลภายใน ในช่วงปี 2566 รวมทั้งมีคำสั่งยึดอายัดทรัพย์สินของผู้กระทำผิดกรณีทุจริตและตกแต่งงบการเงิน รวม 4 ราย พร้อมกันนี้ได้ส่งเรื่องต่อไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)
 

สืบเนื่องจากกรณีที่เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 ก.ล.ต. กล่าวโทษผู้กระทำความผิด 3 ราย ได้แก่ (1) บริษัท JKN (2) นายจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ และ (3) นางสาวพิมพ์อุมา จักราจุฑาธิบดิ์ ต่อ DSI กรณีร่วมกันกระทำหรือยินยอมให้มีการลงข้อความเท็จ และ/หรือทำบัญชีไม่ครบถ้วน ไม่ถูกต้อง และไม่ตรงต่อความเป็นจริงในงบการเงินประจำปี 2566 และเอกสารบัญชีสำหรับงวดไตรมาส 1 ปี 2567 ของ JKN เพื่อลวงบุคคลใด ๆ และนำส่งหรือเปิดเผยงบการเงินประจำปี 2566 และแบบ 56-1 One Report ที่มีงบการเงินเท็จ นั้น

ก.ล.ต. ได้ขยายผลการตรวจสอบและพบว่า การซื้อขายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ของ JKN กับนิติบุคคลซึ่งจดทะเบียนในประเทศไทย มีกรรมการและผู้บริหาร* ของ JKN ในขณะเกิดเหตุ ได้แก่ (1) นายจักรพงษ์ ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (2) นางสาวพิมพ์อุมา ในฐานะกรรมการบริหารและรองกรรมการผู้จัดการสายงานคอนเทนต์ (3) นางสาวพิสมัย ห่างไธสง ในฐานะกรรมการบริหารและรักษาการรองกรรมการผู้จัดการสายงานการเงินและบัญชี และ (4) นางสาวกมลรัตน์ มงคลครุธ ในฐานะกรรมการบริหารและรองกรรมการผู้จัดการสายงานขาย ได้ร่วมกันดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมการซื้อขายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ที่ไม่มีจริงของ JKN โดยพบเส้นทางเงินที่อ้างว่าเป็นการชำระค่าซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์ดังกล่าวจาก JKN เป็นเงินประมาณ 557.63 ล้านบาท ได้โอนต่อไปให้กับบุคคลซึ่งน่าเชื่อว่าเป็นนอมินี (nominee) ของนายจักรพงษ์ เพื่อนำไปซื้อหุ้น JKN และหุ้นกู้ JKN แทนนายจักรพงษ์ อีกทั้งนายจักรพงษ์และนางสาวพิมพ์อุมา ยังได้รับประโยชน์จากเงินดังกล่าวผ่านการโอนเข้าบัญชีตนเอง เป็นเหตุให้ JKN เสียหาย การกระทำของบุคคลทั้ง 4 ราย ข้างต้น เข้าข่ายเป็นการร่วมกันกระทำผิดหน้าที่โดยทุจริต เบียดบังเอาทรัพย์ของบริษัทเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต แสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายเพื่อตนเองหรือผู้อื่น จนเป็นเหตุให้ JKN ได้รับความเสียหาย และบันทึกบัญชีไม่ครบถ้วน ไม่ถูกต้อง หรือไม่ตรงต่อความเป็นจริงเพื่อลวงบุคคลใด ๆ อันเป็นความผิดตามมาตรา 281/2 วรรคสอง ประกอบมาตรา 89/7 มาตรา 307 มาตรา 308 มาตรา 311 มาตรา 312 มาตรา 313 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ) ประกอบมาตรา 83 แห่งประมวลกฎหมายอาญา  

จากกรณีดังกล่าว JKN ยังได้นำส่งงบการเงินงวดประจำปี 2565 และปี 2566 ซึ่งเป็นงบการเงินที่ได้บันทึกบัญชีเจ้าหนี้และลูกหนี้กรณีนิติบุคคลในประเทศอันเป็นเท็จ และได้ส่งแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี/รายงานประจำปี 2565 และปี 2566 อันเป็นเท็จต่อ ก.ล.ต. รวมทั้งได้เปิดเผยหรือเผยแพร่งบการเงินเท็จดังกล่าวต่อประชาชนทั่วไปผ่านระบบเผยแพร่ข้อมูลบริษัทจดทะเบียนของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ระบบ SETLink) โดยนายจักรพงษ์ ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม ได้ลงนามรับรองงบการเงินและข้อมูลดังกล่าว อันเป็นความผิดตามมาตรา 281/10 และตามมาตรา 281/10 ประกอบมาตรา 300 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ แล้วแต่กรณี 

นอกจากนี้ ก.ล.ต. ได้รับข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ฯ และตรวจสอบเพิ่มเติม พบข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ทำให้เชื่อได้ว่า บุคคล 9 ราย มีการขายหุ้น JKN โดยอาศัยข้อมูลภายใน และยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ ได้แก่ (1) นายจักรพงษ์ (กรรมการ/ผู้บริหารของ JKN) ได้ใช้บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของ (2) นายอชิระ สุธีสถาพร (บิดาของนายจักรพงษ์) (3) นางสาวปาริชาติ เนียมหอม และ (4) นางอริยพร ไทยจินดา ขายหุ้น JKN เพื่อหลีกเลี่ยงผลขาดทุน โดยอาศัยข้อมูลภายในเกี่ยวกับการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ รุ่น JKN239A ของ JKN ซึ่งได้เปิดเผยสารสนเทศผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ ในวันที่ 31 สิงหาคม 2566 อันเป็นข้อมูลที่ยังมิได้เปิดเผยต่อประชาชนเป็นการทั่วไปซึ่งเป็นสาระสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงราคาหรือมูลค่า ของหุ้น JKN โดยมี (5) นายกฤติพัฒน์ ศรีเทพเอี่ยม (ผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมายของ JKN) ให้ความช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่นายจักรพงษ์ในการส่งคำสั่งขายหุ้น JKN ในบัญชีของนายอชิระ นางสาวปาริชาติและนางอริยพร  

การกระทำข้างต้นของนายจักรพงษ์ เข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 242 (1) ประกอบมาตรา 243 (1) แห่ง พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ โดยมีนายอชิระและนายกฤติพัฒน์ ให้ความช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่นายจักรพงษ์ในการใช้ข้อมูลภายในขายหุ้น JKN ตามมาตรา 242 ประกอบมาตรา 315 แห่ง พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ และนางสาวปาริชาติและนางอริยพร ซึ่งได้ยินยอมให้นายจักรพงษ์ใช้บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์และบัญชีธนาคารที่ใช้ชำระค่าซื้อขายหลักทรัพย์เพื่อปิดบังตัวตนของนายจักรพงษ์ เข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 297 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ 

ในกรณีของ (6) นายพรชัย มงคลครุธ ซึ่งเป็นน้องชายของ (7) นางสาวกมลรัตน์ มงคลครุธ (กรรมการ/ผู้บริหารของ JKN) มีพฤติกรรมการขายหุ้น JKN ที่ผิดไปจากปกติวิสัยของตน ในช่วงที่นางสาวกมลรัตน์ ได้รับทราบข้อมูลภายในเกี่ยวกับการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้รุ่น JKN239A แล้ว จึงน่าเชื่อว่า นายพรชัยรับทราบข้อมูลภายในดังกล่าวจากนางสาวกมลรัตน์ การกระทำดังกล่าวของนายพรชัยเข้าข่ายเป็นความผิด ตามมาตรา 242 (1) ประกอบมาตรา 244 (4) แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ และนางสาวกมลรัตน์ เข้าข่ายเป็นความผิดกรณีบอกกล่าวข้อมูลภายในแก่นายพรชัย ตามมาตรา 242 (2) ประกอบ 243 (1) แห่ง พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ 

อีกทั้ง จากการตรวจสอบพบบุคคลซึ่งน่าเชื่อว่าได้ยินยอมให้นายจักรพงษ์ใช้บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์และบัญชีธนาคารที่ใช้ชำระค่าซื้อขายหลักทรัพย์เพื่อปิดบังตัวตนของนายจักรพงษ์ อีก 2 ราย ได้แก่ (8) นางสาวมลฤดี เอี่ยมโอฬาร และ (9) นายเชฎฐา จิตรมณี ซึ่งเข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 297 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ การถูกกล่าวโทษข้างต้นมีผลให้ผู้ถูกกล่าวโทษรายนายจักรพงษ์ นางสาวพิมพ์อุมา นางสาวพิสมัย และนางสาวกมลรัตน์ เข้าข่ายมีลักษณะขาดความน่าไว้วางใจและไม่สามารถดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการและผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียนตลอดระยะเวลาที่ถูกกล่าวโทษดำเนินคดี นับตั้งแต่วันที่ ก.ล.ต. มีหนังสือกล่าวโทษบุคคลดังกล่าวต่อ DSI

จากการกล่าวโทษดังกล่าว ก.ล.ต. โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ ก.ล.ต. อาศัยอำนาจตามความมาตรา 267 พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ ได้มีคำสั่งยึดอายัดทรัพย์สินของผู้กระทำผิดกรณีทุจริตและตกแต่งงบการเงิน รวม 4 ราย ได้แก่ (1) นายจักรพงษ์ (2) นางสาวพิมพ์อุมา (3) นางสาวพิสมัย และ (4) นางสาวกมลรัตน์ เป็นเวลา 180 วัน เนื่องจากปรากฏพฤติการณ์การกระทำผิดที่มีลักษณะก่อให้เกิดความเสียหายต่อประโยชน์ของประชาชนในวงกว้าง โดยปรากฏมูลค่าความเสียหายจากเงินของบริษัท JKN ที่นำออกไปซื้อลิขสิทธิ์ที่ไม่มีจริง จำนวนประมาณ 557.63 ล้านบาท และจากการเปิดเผยงบการเงินและแบบ 56-1 One Report ที่มีงบการเงินอันเป็นเท็จ ไปประกอบการเสนอขายหุ้นกู้ รุ่น JKN255A ของ JKN เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2566 ได้รับเงินมาอีก 156.60 ล้านบาท รวมมูลค่าความเสียหาย 714.23 ล้านบาท และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่าผู้กระทำความผิดจะยักย้ายหรือจำหน่ายทรัพย์สินออกไป 

นอกจากนี้ คณะกรรมการ ก.ล.ต. ยังมีคำสั่งห้าม (1) นายจักรพงษ์ (2) นางสาวพิมพ์อุมา (3) นางสาวพิสมัย และ (4) นางสาวกมลรัตน์ มิให้ออกนอกราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว มีกำหนด 15 วัน โดยหลังจากนี้ ก.ล.ต. จะไปร้องขอต่อศาลอาญาเพื่อออกคำสั่งห้ามมิให้บุคคลดังกล่าวออกนอกราชอาณาจักรต่อไป

ทั้งนี้ ภายหลังการกล่าวโทษของ ก.ล.ต. กระบวนการบังคับใช้กฎหมายทางอาญาต่อไปเป็นการสอบสวนของพนักงานสอบสวน การสั่งฟ้องคดีของพนักงานอัยการ และการพิจารณาของศาลยุติธรรม ตามลำดับ โดย ก.ล.ต. จะติดตามความคืบหน้าในการดำเนินคดี และจะร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ เพื่อสนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ ในกระบวนการภายหลัง ก.ล.ต. ได้กล่าวโทษแล้ว