เราควรจะเปลี่ยนนโยบายกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเมื่อใด

กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) นับเป็นกองทุนภาคสมัครใจที่สำคัญอย่างยิ่งยวดสำหรับลูกจ้างภาคเอกชนในประเทศไทย โดยมีจุดประสงค์เพื่อออมเงินไว้ใช้ภายหลังเกษียณอายุงาน ซึ่งผลตอบแทนสะสมจะมาจากทั้งส่วนเงินสะสมของลูกจ้างและเงินสมทบของนายจ้าง ซึ่งในแต่ละองค์กรก็จะมีเงื่อนไขที่แตกต่างกันไปสำหรับการให้เงินสมทบ
ในปัจจุบันนโยบายการลงทุนของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมีความยืดหยุ่นมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับสมัยก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเพิ่มทางเลือกในการลงทุน เช่น การเพิ่มการลงทุนในตราสารทุนทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนั้นยังเปิดให้พนักงานเลือกนโยบายการลงทุนที่เหมาะสมกับตนเองได้ (Employee’s Choices)
นอกจากนั้นอีกสิ่งที่เห็นการเปลี่ยนแปลงได้อย่างชัดเจนก็คือ การเปิดโอกาสให้สมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพสามารถปรับเปลี่ยนแผนการลงทุนได้ เช่น ปีละ 4 ครั้ง หรือมากกว่าแล้วแต่นโยบายของแต่ละแห่ง โดยความหยืดหยุ่นเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ส่งผลเชิงบวกต่อกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในรูปแบบต่างๆ
จากข้อมูลสถิติ (ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)และ data.go.th) ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2565 พบว่ามีมูลค่าเงินกองทุนของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพทั้งระบบอยู่ที่ 1,331,147 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยคิดเป็น 0.52% เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2564 มีจำนวนนายจ้างอยู่ที่ 21,496 รายเพิ่มขึ้น 655 ราย และมีจำนวนสมาชิกทั้งหมด 2,843,143 คนลดลง 23,420 คน เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน โดยจำนวนสมาชิกคิดเป็น 18% เมื่อเทียบกับจำนวนแรงงานเอกชนในระบบ
โดยเมื่อเทียบกับที่เคยสูงสุดในช่วงปี 2562 ที่อยู่ราวๆ 20% จะพบว่ามีสมาชิกหายไปทั้งหมด 242,249 ราย ซึ่งการลดลงอาจเกิดจากหลายสาเหตุมีทั้งสมาชิกที่ลาออกจากกองทุนแต่ยังทำงานอยู่ ลาออกจากงาน และเกษียณอายุ เป็นต้น โดยแม้สัดส่วนจะยังดูไม่เยอะ แต่แนวโน้มในระยะยาวก็คาดว่าน่าจะเพิ่มขึ้นทั้งในส่วนของจำนวนนายข้างและจำนวนสมาชิก
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา อาจจะเป็นช่วงที่ตลาดการเงินมีความผันผวนค่อนข้างมากจากปัญหาเรื่องของ COVID-19 เงินเฟ้อ สงคราม และแนวโน้มดอกเบี้ย ส่งผลให้สินทรัพย์ต่างๆ ให้ผลตอบแทนที่ไม่ดีนัก ไม่ว่าจะเป็นตราสารหนี้ หรือ ตราสารทุน อีกทั้งยังติดลบพร้อมๆ กัน ทำให้ภาพรวมของพอร์ตการลงทุนในส่นของเงินสำรองเลี้ยงชีพดูไม่ดีนัก และอาจก่อให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการลงทุนในส่วนนี้ และอาจมีบางส่วนเริ่มไม่แน่ใจเรื่องของนโยบายที่ตนเองได้เลือกไป
การที่กองทุนสำรองเลี้ยงชีพในระบบจะประสบความสำเร็จ ตอบโจทย์ที่ภาครัฐต้องการหรือไม่นั้นนอกเหนือไปจากเรื่องของนโยบายในภาพรวม เช่น แรงจูงใจทางด้านภาษีทั้งในส่วนของลูกจ้างและนายจ้าง ที่มีส่วนโดยตรงต่อการส่งเสริมให้ลูกจ้างออมเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ การกำหนดสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสม และปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งยวดเช่นกัน
การกำหนดสัดส่วนการลงทุนของตนเองและการปรับพอร์ตการลงทุนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ จะขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่ (1) การเงินส่วนบุคคล และการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ซึ่งในช่วงอายุของการทำงานการเปลี่ยนแปลงการเงินส่วนบุคคลอาจเกิดขึ้นได้จากหลากหลายปัจจัยทั้งเกิดจากประเด็นเรื่องของหน้าที่การงาน เช่น หากมีการย้ายงานมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงประเด็นด้านโชคลาภ เช่น อาจได้รับมรดก เป็นต้น
(2) การเปลี่ยนแปลงของภาวะตลาดการเงินในระยะยาว เช่น เรื่องของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ การคาดการณ์เงินเฟ้อและการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มดอกเบี้ยในระยะยาว และ (3) การเปลี่ยนแปลงตามวัฏจักรเศรษฐกิจ
ในแง่ของการลงทุน เป็นที่รู้กันว่าผลตอบแทนส่วนใหญ่นั้นจะมาจากการจัดสรรสินทรัพย์ (Asset Allocation) มากกว่าการเลือกหลักทรัพย์ (Securities Selection) โดยการกำหนดสัดส่วนของการลงทุนให้เหมาะสมกับสถานะการเงินส่วนบุคคล และระดับความเสี่ยงตนเองยอมรับได้นั้นนับเป็นหัวใจหลักของการลงทุน โดยเฉพาะในการลงทุนที่ต้องใช้เวลายาวนานในการรอคอยผลลัพธ์เหมือนเช่นเงินเกษียณอายุ
โดยการจัดสรรสินทรัพย์ก็จะขึ้นอยู่กับ2ปัจจัยแรก ได้แก่ สถานะการเงินส่วนบุคล และการคาดการณ์ผลตอบแทนสินทรัพย์ในระยะยาว ดังนั้นในกรณีที่ลูกจ้างกำหนดสัดส่วนการลงทุนเอง ไม่ได้ลงทุนในกองทุนที่กำหนดสัดส่วนการลงทุนโดยผู้จัดการกองทุนตามแบบที่เลือก หรือ การลงทุนในลักษณะสมดุลตามอายุ (Target Date Fund) การเปลี่ยนแปลงสัดส่วนการลงทนทุนก็ควรจะขึ้นอยู่กับว่าสถานะการเงินส่วนบุคคลและการคาดการณ์ผลตอบแทนสินทรัพย์ในระยะยาวมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่
ส่วนการเปลี่ยนแปลงผลตอบแทนในลักษณะวันต่อวันที่ขึ้นลงตามตัวเลขเศรษฐกิจ หรือ ปัจจัยในระยะสั้นต่างๆ ควรจะปล่อยให้เป็นบทบาทของผู้จัดการกองทุนมากกว่า โดยหากผู้ออมปรับพอร์ตกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้ขึ้นๆ ลงๆ ตาม Sentiment หรือ อารมณ์ในตลาดก็อาจจะส่งผลเสียมากกว่าในระยะยาว
รวมถึงอาจมีส่วนที่ทับซ้อนกับการปรับพอร์ตของผู้จัดการกองทุนอีกด้วย เช่น หากหุ้นตกแล้วเกิดความกังวล และรีบปรับลดสัดส่วนของการลงทุนลง ทั้งๆ ที่ผู้จัดการกองทุนก็ลดความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนให้แล้ว ก็อาจจะทำให้พลาดโอกาสในการได้รับผลตอบแทนในระยะยาวที่เหมาะสมได้ ทำให้เราอาจจำเป็นต้องคิดให้รอบคอบและคำนึงถึงระยะยาวมากกว่าก่อนที่จะปรับเปลี่ยนสัดส่วนการลงทุน
สุดท้ายนี้กองทุนสำรองเลี้ยงอย่างเดียวก็อาจจะไม่เพียงพอ อาจต้องมีเงินออมในส่วนอื่นช่วย ไม่ว่าจะเป็นตราสารทางการเงินหรือไม่ และเราเองก็ไม่ควรพิจารณากองทุนสำรองเลี้ยงในแบบที่เป็นลักษณะเดี่ยวๆ แต่ควรจะเป็นส่วนหนึ่งของภาพรวมของการลงทุนและสินทรัพย์ต่างๆ ที่เรามีอีกด้วย
หมายเหตุ บทวิเคราะห์นี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของหน่วยงานต้นสังกัดแต่อย่างใด







