อุตส่าห์เปลี่ยนชื่อบริษัท แต่ Meta อาจจะล้มเหลวกับเมตาเวิร์ส??

อุตส่าห์เปลี่ยนชื่อบริษัท แต่ Meta อาจจะล้มเหลวกับเมตาเวิร์ส??

เป็นเวลากว่าหนึ่งปีแล้วที่ Facebook ได้เปลี่ยนชื่อบริษัทมาเป็น Meta และประกาศรุกเทคโนโลยีเมตาเวิร์สอย่างจริงจังจนทำให้กระแสของโลกเสมือนจริงนี้ดังไปทั่วโลกและเกิดการแห่เข้ามาลงทุนและพัฒนาเมตาเวิร์สเป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตามการประกาศผลประกอบการล่าสุดของบริษัท Meta เปิดเผยว่า

ธุรกิจเมตาเวิร์ส ซึ่งเป็นหมุดหมายใหม่ทางธุรกิจของ Meta รายได้ลดลงเหลือ 285 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ ขาดทุนถึง 3,672 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ปีที่ผ่านมาได้ทุ่มเงินลงทุนในเมตาเวิร์สไปแล้วกว่า 9,400 ล้านดอลลาร์

มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ยังได้ออกมายอมรับด้วยว่ามองภาพตลาดออนไลน์ผิดพลาด (ไม่ใช่แค่เมตาเวิร์ส) ทำให้เร่งจ้างพนักงานใหม่จำนวนมากในช่วงที่ผ่านมาแต่ไม่ได้ทำให้เกิดผลประโยชน์มากนัก จนต้องตัดสินใจ ปลดพนักงาน จำนวน 11,000 คน หรือคิดเป็น 13% ของจำนวนพนักงานทั้งหมด เพื่อทำการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่

ขณะที่ ราคาหุ้น META นับตั้งแต่ประกาศที่จะลุยธุรกิจเมตาเวิร์สอย่างจริงจังเป็นทิศทางขาลงมาโดยตลอด จนหลายฝ่ายเริ่มมองว่าการตัดสินใจเข้ามาสู่เมตาเวิร์สของ Meta อาจจะเป็นความผิดพลาดครั้งสำคัญของมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก

ถ้าหากวิเคราะห์สาเหตุที่ทำให้ธุรกิจเมตาเวิร์สของ Meta ไม่ออกมาปังอย่างที่คิดอาจมีสาเหตุดังนี้

เปิดตัวมาในช่วงที่โลกเริ่มผ่อนคลายจากไวรัสโควิด Meta เปิดตัวแพลตฟอร์มเมตาเวิร์สของตัวเองในชื่อ Horizon ในช่วงเดือนธันวาคมปีที่แล้ว แม้ว่ายังมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดแต่ในฝั่งสหรัฐฯผู้คนส่วนใหญ่ออกมาใช้ชีวิตตามปกติแล้ว ทำให้ความจำเป็นในการร่วมกิจกรรมต่างๆในออนไลน์มีความสำคัญน้อยลง ต่างจากในช่วงที่ไวรัสแพร่ระบาดทั่วโลกที่ผู้คนส่วนใหญ่ต้องอยู่บนโลกออนไลน์

ขาดคอนเทนท์ดึงดูดผู้ใช้งาน

หนึ่งในแรงดึงดูดที่จะทำให้ผู้คนหันมาใช้ชีวิตในเมตาเวิร์สก็คือกิจกรรมภายในแพลตฟอร์ม อย่างเช่น The Sandbox ที่มีกิจกรรมหลักคือเกมส์และ Decentraland ที่เน้นการจัดอีเว้นท์โดยแบรนด์ดังๆ

แต่ภายใน Horizon ของ Meta ยังมีกิจกรรมให้ผู้คนเข้าไปใช้ไม่มากนักมีเพียงเกมส์ไม่กี่เกมส์และยังไม่สามารถสร้างคอนเทนท์ด้วยตัวเองเหมือนกับ Facebook จึงทำให้กระแสความนิยมมีไม่มากนัก รวมถึงยังไม่มีโมเดลในการหารายได้

แว่นตา VR Headset ยังมีราคาแพงเกินไป

การจะเข้าไปเล่นใน Horizon จะต้องผ่านแว่นตา Headset ของ Oculus ซึ่งปัจจุบันยังมีราคาที่แพงกว่า 500 ดอลลาร์ หรือ 20,000 กว่าบาท แต่ประสบการณ์ที่ได้รับอย่างเช่นกราฟฟิคยังดูไม่น่าตื่นเต้น

ประกอบกับการจำกัดอายุว่าจะต้องเกิน 18 ปีถึงจะเข้ามาเล่นได้ซึ่งกลุ่มอายุดังกล่าวไปชนกับตลาดของ Roblox ซึ่งอยู่มานานกว่าและมีผู้เล่นและเกมส์ให้เลือกมากกว่า ทำให้ Horizon ยังไม่สามารถแจ้งเกิดได้

แล้ว Meta จะแก้เกมส์อย่างไร?? 

แม้จะยังไม่ประสบความสำเร็จในช่วงแรกแต่ไม่ได้หมายความว่า Meta จะล้มเหลวในธุรกิจเมตาเวิร์ส เพียงแต่ในมุมมองของผม Meta ไม่ควรจะใช้โมเดลที่เคยประสบความสำเร็จอย่าง Facebook เข้ามาใช้กับเมตาเวิร์สเพราะโซเชียลมีเดียคือ เทคโนโลยีในยุค Web2 แต่เมตาเวิร์สคือเทคโนโลยีในยุค Web3 ซึ่งมีพื้นฐานของบล็อกเชนซึ่งเป็นรูปแบบการกระจายอำนาจสู่ผู้ใช้งาน แต่ดูแล้วทัศนคติของมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กที่บริหาร Facebook จะเป็นรูปแบบการรวมศูนย์อำนาจมากกว่า

ขณะที่การจะทำให้เมตาเวิร์สมีความสมบูรณ์แบบจำเป็นที่จะต้องลงทุนอีกมากในการสร้างคอนเทนท์เพื่อดึงผู้คนให้เข้ามาใช้งานหรือไม่เช่นนั้นจะต้องพัฒนาระบบ User Generate Content ให้ผู้ใช้งานสามารถสร้างคอนเทนท์ของตัวเองได้เหมือนกับที่ Facebook สามารถทำได้

แม้ว่า Mckinsey จะคาดการณ์ว่ามูลค่าอุตสาหกรรมเมตาเวิร์สจะแตะ 5 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในปี 2030 โดยเมตาเวิร์สที่ให้บริการสันทนาการจะมีสัดส่วนสูงสุดถึง 50% แต่เมตเวิร์สที่ใช้งานเฉพาะทางอย่างเช่นการประชุมออนไลน์ การเรียนการสอนออนไลน์รวมถึงอีคอมเมิร์ซอาจจะมีโอกาสได้รับการตอบรับก่อนเมตาเวิร์สในเชิงโซเชียลที่ Meta กำลังมุ่งเน้นอยู่ ซึ่งเมตาเวิร์สที่มุ่งเน้นเรื่องการดึงผู้คนจำนวนมากมารวมกันอยู่เป็นสังคมยังต้องลงทุนอีกมากเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าเช่นภาพที่สมจริง รูปแบบการเล่นเกมส์ที่สมจริง

ถึงตอนนี้อาจจะยังพูดได้ไม่เต็มที่ว่า Meta จะล้มเหลวกับเมตาเวิร์สด้วยฐานผู้ใช้งานนับพันล้านรายทั่วโลกในมือที่มีโอกาสจะดึงเข้าสู่เมตาเวิร์สได้ แต่หนทางจากนี้ยังต้องมีการลงทุนอีกมากซึ่งไม่แน่ใจว่ามาร์คซัคเคอร์เบิร์กจะฝ่าฝันไปได้หรือไม่ท่ามกลางธุรกิจดั้งเดิมที่กำลังมีปัญหาอยู่ด้วยเช่นกัน