เชื่อไหม ? กับ “สิบ” ความเชื่อของตลาดการเงินปัจจุบัน

เชื่อไหม ? กับ “สิบ” ความเชื่อของตลาดการเงินปัจจุบัน

“ความเชื่อทั่วไปมักเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงยาก แต่ความเชื่อในตลาดการเงินมักเปลี่ยนแปลงไปเสมอ”ปี 2022 เป็นปีที่ยืนยันคำกล่าวนี้ได้อย่างดี นอกจากเราจะเห็นการลงทุนที่เคยดี กลับแย่ลงอย่างเฉียบพลัน

ความสัมพันธ์ของการเมือง นโยบายและเศรษฐกิจ ก็ดูจะไม่เป็นไปตามที่เคยเกิดขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ตลาดเปลี่ยนมุมมองจนแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม

 สำหรับนักลงทุนอย่างเรา ไม่ว่าความเชื่อเหล่านี้จะคงอยู่หรือเปลี่ยนไป ก็ควรรู้ให้ทันกับทุกเรื่องราว ซึ่งผมรวบรวม 10 ความเชื่อของตลาดในปัจจุบันได้ดังต่อไปนี้ 

1. เงินเฟ้อสหรัฐจะสูงไปทั้งปี

จุดสูงสุดของเงินเฟ้อคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในครึ่งแรกของปี 2022 เหตุมาจากแรงส่งของนโยบายการคลังช่วงโควิด ตลาดแรงงานตึงตัว และล่าสุดก็มีประเด็นสงครามเข้ามาหนุนราคาอาหารและพลังงานให้สูงขึ้น

2. ธนาคารกลางสหรัฐจะเข้มงวดไม่สนใจตลาดทุน

นักลงทุนต้องหาทางบริหารจัดการราคาสินทรัพย์การเงินที่แพงและมีโอกาสปรับฐานกันเอง เพราะสำหรับเฟด ผลกระทบด้าน Wealth Effect กับเศรษฐกิจและการเมืองในระยะยาว มีค่าน้อยกว่าความเสี่ยงหลักอย่าง “เงินเฟ้อเสียการควบคุม” เสมอ

3. การจับจ่ายใช้สอยจะชะลอตัวลง

เป็นผลมาจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ไม่มากเท่าช่วงวิกฤติโควิด สวนทางกับเงินเฟ้อที่สูงพร้อมกับนโยบายการเงินที่เข้มงวด อำนาจการจับจ่ายใช้สอยจะลดลง สวนทางกับต้นทุนการกู้ยืมที่จะเพิ่มขึ้น

4. เศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวจากการควบคุมของภาครัฐ

ปี 2022 มีโอกาสเห็น GDP จีนเติบโตต่ำกว่า 5% บริษัทเทคโนโลยีใหญ่จะถูกกฎเกณฑ์ใหม่บีบให้ปรับโครงสร้าง การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์จะชะลอตัว ส่วนการผ่อนคลายทางการเงินเป็นเพียงภาพสะท้อนของเศรษฐกิจจีนที่กำลังเติบโตช้า

 

5. ปัญหา Supply Chain จะคลี่คลาย

ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางจะปรับตัวลงมาอยู่ที่ระดับเดียวกับต้นปี 2021ในไม่ช้า พอดีกับครึ่งหลังของปีที่มีนโยบายเปิดการเดินทางเข้ามาสนับสนุน

6. บริษัททั่วโลกจะต้องพัฒนาด้าน ESG

เงินลงทุนจะไหลเข้าในธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ESG ก็จะเข้าไปอยู่ใน Investment Guideline ของทุกอุตสาหกรรม ธุรกิจที่ไม่คำนึงถึงผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมจะมีต้นทุนการทำธุรกิจสูงขึ้นอย่างมาก

7. เศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่วัฏจักการลงทุนรอบใหม่

นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ Build Back Better Plan จะเร่งให้เกิดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ พร้อมกับประเด็นความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและจีนจะหนุนให้หลายอุตสาหกรรมจำเป็นจะต้องย้ายฐานกลับมาลงทุนในอเมริกา

8. สหรัฐยังคงเหนือกว่าทั่วโลก

ด้วยจุดเด่น 3อย่าง คือสามารถใช้นโยบายการคลังขนาดใหญ่ได้โดยที่ดอลลาร์ไม่อ่อนค่า การพึ่งพาต่างประเทศต่ำจึงได้รับแรงต้านจากเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวน้อยกว่าทั่วโลก และในปัจจุบันมีสถานะเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่จึงไม่มีปัญหาเรื่องพลังงานในระยะยาว

9. หุ้น Value จะชนะตลาด

มี 5เหตุผลสนับสนุน ตั้งแต่ระดับ Valuation ที่ถูกกว่า Growth แรงส่งจากการเปิดประเทศ นักลงทุนไม่ได้มีการลงทุนอยู่ก่อนนี้ การขึ้นดอกเบี้ยเป็นบวกต่อกลุ่มการเงิน และมีสินค้าคงเหลือที่ราคาสามารถปรับตัวขึ้นได้ตามวัฏจักรเศรษฐกิจ

10. สินทรัพย์ Digital จะกลายเป็นส่วนเสริมของโลกการเงิน

แม้จะปรับตัวลงจากจุดสูงสุดอย่างหนัก แต่เทคโนโลยีอยู่ในขั้นเริ่มต้น มีโอกาสสำหรับการพัฒนาต่อได้อีกไกล นอกจากนั้นก็เป็นไปได้ที่จะมีการตอบรับจากธนาคารกลางมากกว่ากีดกันเพิ่ม ส่งผลให้นักลงทุนสถาบันเข้าลงทุนได้ในอน่คต

นักลงทุนหลายท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้ คงมีข้อที่เชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง และสงสัยบ้าง แตกต่างกันตามมุมมอง ความรู้ และประสบการณ์

แต่ก่อนที่จะปรับกลยุทธ์การลงทุน ในฐานะนักกลยุทธ์การเงิน ผมมีคติประจำใจ “สามข้อ” ที่อยากแชร์ให้เราได้คิดไปพร้อมกันก่อน

หนึ่ง อย่าขวางทางตลาดถ้าเราไม่ได้มีข้อมูลหรือเงินมากกว่าตลาด

แม้เราจะไม่เชื่อหรือเห็นต่าง วิธีที่ดีที่สุดไม่ใช่การสวนตลาด แต่ควรหาข้อมูลมาประกอบการตัดสินใจให้มากขึ้น จำไว้ว่า “ตลาดไม่มีเหตุผลได้นานกว่าที่เงินในพอร์ตเราจะหมดลงเสมอ”

สอง พร้อมที่จะเปลี่ยนความเชื่ออยู่เสมอ

จำไว้ว่าตลาดไม่มีทางถูกหรือผิดทั้งหมด  

สำหรับผม เรื่องที่มีตัวเลขเศรษฐกิจเป็นส่วนประกอบ มักสร้างความประหลาดใจได้มากที่สุด

เหตุการณ์ที่มีการตัดสินใจของมนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้อง มักเปลี่ยนแปลงได้ง่ายที่สุด

และการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างระยะยาว มักทำให้ตลาดตื่นเต้นผิดปรกติที่สุดในระยะสั้น

และสาม สำคัญกว่าความเชื่อคือสัดส่วนการลงทุน

สิ่งที่เราทุกคนควรทำคือย้อนกลับไปอ่านทั้ง 10ความเชื่ออีกครั้ง และตอบตัวเองให้ได้ว่าพอร์ตเรามีสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสมบนความเชื่อเหล่านี้แล้วหรือยัง

เพราะไม่ว่าความเชื่อของตลาดจะเป็นจริงหรือไม่ เราจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยถ้าเราไม่มีการลงทุนในสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้อง

แน่นอนผมเองก็ไม่ได้เชื่อไปทั้งหมด ส่วนการลงทุนก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าความเชื่อของใครถูกหรือผิด

สิ่งที่สำคัญที่สุดของการลงทุนคือต้องรู้ว่าตลาดเชื่ออะไร วางกลยุทธ์รับมือความเชื่อเหล่านั้นให้เหมาะสม และไม่ลืมที่จะเตรียมรับการเปลี่ยนแปลงให้พร้อมครับ