บุคลิกแห่งอนาคต

ยิ่งเข้าใกล้วันสุดท้ายของปี 2564 ก็ยิ่งเห็นความตื่นตัวของเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทยอยเป็นข่าวให้เราได้ฮือฮากันอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเรื่องของเทคโนโลยีโลกเสมือนจริงหรือ Metaverse ที่เฟซบุ๊คยอมเปลี่ยนแปลงถึงขนาดเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Meta

ตามด้วยไมโครซอฟท์ที่ไม่ยอมน้อยหน้าเพราะมีเทคโนโลยีของตัวเองอยู่แล้วจึงประกาศร่วมวง Metaverse นี้ด้วย เช่นเดียวกับ Nike ที่ประกาศสร้างสินค้าในโลกเสมือนนี้เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าในรูปแบบเสมือนจริง

การมาถึงของสินค้าเสมือนจริงที่เป็นดิจิทัลโปรดักส์ในโลกเสมือนที่เป็นเมตาเวิร์ส อาจทำให้ผู้อ่านหลายๆ ท่านสับสนและทำความเข้าใจได้ยากว่าเป็นไปได้อย่างไร และมองไม่ออกว่ามันจะเข้ามาแทนที่โลกธุรกิจจริงได้อย่างไร ซึ่งก็ไม่แปลกอะไรเพราะเรารู้จักและคุ้นเคยกับโลกแบบนี้มาทั้งชีวิต

หากเป็นผู้อาวุโสในวัย 70-80 ปีขึ้นไปอาจไม่จำเป็นต้องเสียเวลามาทำความเข้าใจกับเรื่องเหล่านี้ แต่หากเป็นคนรุ่นใหม่ นี่คือโลกที่เกิดมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ ด้วยความที่เกิดมาพร้อมเทคโนโลยีดิจิทัลและคุ้นเคยกับอุปกรณ์ทันสมัยรอบตัว 

วิวัฒนาการของเทคโนโลยี Virtual Reality ที่มาผสมผสานกับระบบนิเวศทางธุรกิจก่อให้เกิดเป็นโลกเสมือนที่ใช้ชีวิตทั้งทำงานและพักผ่อนได้จึงเป็นสิ่งที่ไม่ได้อยู่นอกเหนือจินตนาการของคนรุ่นนี้เลย

แม้จะเป็นโลกของคนรุ่นใหม่ แต่กับคนรุ่นเก่าที่ยังต้องการปรับตัวเข้ากับกระแสใหม่ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องของธุรกิจที่ต้องหาโอกาสจากความเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค หรือการเตรียมตัวให้กับลูกหลานที่กำลังเติบโตเข้าสู่โลกการทำงานยุคใหม่ ก็จำเป็นต้องเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ เหล่านี้และหาทางเลือกดีที่สุดให้กับทั้งองค์กรและทายาทในครอบครัวของตัวเอง

ที่สำคัญ การมาถึงของโลกเสมือนก็ยังไม่ใช่การปรับตัวครั้งสุดท้าย เพราะโลกดิจิทัลเข้ามาเปลี่ยนวิถีชีวิตของเราทีละน้อยๆ จนก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มาแล้วหลายครั้งและต้องมีครั้งต่อๆ ไปแน่นอน การจะอยู่รอดได้ในอนาคตจึงจำเป็นต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลา และเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ อยู่เสมอ

การอยู่ร่วมกับการเปลี่ยนแปลงจึงจำเป็นต้องมีบุคลิกที่สอดคล้องกับโลกที่มีพลวัตรสูง เป็นบุคลิกของคนที่มองเห็นโอกาสจากการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่คนที่มองเห็นการเปลี่ยนแปลงในแง่ลบ แต่เป็นการมองว่า การปรับตัวเป็นเรื่องสนุกและมองเห็นความสำเร็จของตัวเองที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

บุคลิกแห่งความสำเร็จในโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอประการแรก คือความเข้าใจในความหลากหลายทางวัฒนธรรม เพราะโลกในอนาคตจะเป็นโลกที่เปิดกว้างให้กับคนทุกชนชาติ ทุกศาสนา ฯลฯ การตีกรอบความคิดของตัวเองว่าเป็นคนชาตินั้นๆ จะค้าขายได้กับชนชาติเดียวกันเท่านั้นจะไม่สามารถอยู่รอดได้ในอนาคต

เพราะโลกที่เปิดกว้างทำให้ระบบนิเวศทางธุรกิจไม่มีพรมแดนระหว่างประเทศโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นด้านการค้า การเงิน การสื่อสาร ฯลฯ ทุกอย่างล้วนทำได้โดยเสรี และไอเดียทางธุรกิจที่เกิดขึ้นก็พร้อมจะเติบโตและขยายความสำเร็จไปได้ทุกที่

เช่นเดียวกับการเติบโตของเงินสกุลดิจิทัลที่ขยายการใช้งานไปทุกประเทศได้อย่างไม่มีขีดจำกัด ก่อให้เกิดเศรษฐีใหม่ที่เป็นคนรุ่นใหม่มากมาย เช่นเดียวกับเทคโนโลยี AI, Robotics และดิจิทัลแพลตฟอร์มต่างๆ ที่ขยายผู้ใช้ได้ทั่วโลกในระยะเวลาอันสั้น

สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก การจำกัดตัวเองอยู่ในพรมแดนที่คุ้นเคยจึงไม่ทำให้ธุรกิจขยายตัวได้อย่างที่ควรจะเป็น ดังนั้นการสร้างบุคลิกของคนที่เข้าใจวัฒนธรรมที่หลากหลายจึงต้องสร้างตั้งแต่ยังเด็ก