"ปฏิรูปประเทศ" แบบเน้นความเป็นธรรม/เศรษฐกิจภายในประเทศ

"ปฏิรูปประเทศ" แบบเน้นความเป็นธรรม/เศรษฐกิจภายในประเทศ

ขบวนการเพื่อประชาธิปไตยและความเป็นธรรม ๑๔ ตุลา ๒๕๑๖ ต้องพ่ายแพ้หลังการถูกกองกำลังฝ่ายขวาจัด (จารีตนิยมสุดโต่ง) ปราบปรามตอน ๖ ตุลา ๒๕๑๙

ชนชั้นนำไทยเป็นพวกหัวเก่าสุดโต่ง  พวกเขาบริหารระบบเศรษฐกิจ/การเมืองแบบรวมศูนย์ไว้ที่นายทุน และระบบบริหารส่วนกลาง สร้างความเหลื่อมล้ำต่ำสูงระหว่างเมืองกับชนบท กลุ่มคนรวยและกลุ่มคนจนมากขึ้น นโยบายการพัฒนาประเทศที่ไม่สมดุล ไม่เป็นธรรมในรอบ ๔๕ ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน สร้างปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง สังคม หลายอย่างตามมา ทั้งการที่ประชาชนส่วนใหญ่ถูกกดขี่เอาเปรียบทำให้พวกเขามีรายได้ต่ำ การศึกษา การรับรู้ข้อมูลข่าวสารต่ำ (เทียบกับคนรวย คนชั้นกลาง)ทำให้ภาคประชาชนไม่เข้มแข็ง ไม่สามารถผลักดันให้เกิดรัฐบาลที่ดี/ฉลาดได้
    แนวทางแก้ไขคือ การปฏิรูปเชิงโครงสร้างทั้งระบบในแนวสร้างระบบเศรษฐกิจทางเลือกใหม่ กระจายทรัพยากร กำลังคน ความรู้ ไปพัฒนาต่างจังหวัดให้เข้มแข็งในแนวทางจัดการตนเองได้เพิ่มขึ้น ทำกรุงเทพฯ ให้เล็กลง เก็บภาษีทรัพย์สินคนรวยเพิ่มขึ้น ช่วยคนจนทั้งในเมืองและในชนบทให้พัฒนาแบบเป็นกลุ่มองค์กรที่บริหารจัดการตนเองได้ดีขึ้น เพิ่มผลผลิต (ที่จำเป็น) และมีรายได้เพิ่มขึ้น
    ตัวอย่างที่ดีเช่น กลุ่มทำเกษตรอินทรีย์ในหลายชุมชน คนหนุ่มสาวที่มีการศึกษาจากในเมืองออกไปทำฟาร์มแบบทันสมัย เน้นเรื่องเกษตรอินทรีย์ เกษตรปลอดสารพิษ และไปทำธุรกิจการผลิต หัตถกรรม หรือทำธุรกิจในต่างจังหวัด โดยใช้เทคนิคใหม่ๆ และความรู้เรื่องการตลาด บางคนไปทำแค่พออยู่พอกิน ได้ใช้ชีวิตอิสระ ไม่ต้องเป็นลูกจ้างคนอื่น มีความเครียดลดลง และอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีกว่าในเมืองใหญ่  หลายคนเข้าไปช่วยชุมชนและก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีเพิ่มขึ้นด้วย แต่โดยรวมยังมีจำนวนน้อยและสู้กับระบบทุนนิยมผูกขาดที่ทุนใหญ่ได้เปรียบทุนเล็กได้ยาก

รัฐบาลควรจะส่งเสริมหนุนช่วยเรื่องโรงเรียน โรงพยาบาลดีๆ และเรื่องอื่นๆ เรื่องความปลอดภัย ความยุติธรรม ในต่างจังหวัด เพื่อจูงใจให้คนมีความรู้เลือกกลับไปทำงานในต่างจังหวัดกันเพิ่มขึ้น
    เมืองเล็กในต่างจังหวัด มีสภาพแวดล้อมที่ดีกว่ากรุงเทพฯ เด็กได้รับสารตะกั่วน้อยกว่าเด็กกรุงเทพฯ สุขภาพและสมองดีกว่า การเดินทางก็ไม่คับคั่ง ไม่มีรถติด ควันพิษมากเหมือนในกรุงเทพฯ ปัญหาโรคระบาดโควิดเห็นได้ชัดว่าเกิดในกรุงเทพฯ ปริมณฑลและจังหวัดใหญ่ ที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจแบบทุนนิยมอุตสาหกรรมและการค้ามากกว่าในจังหวัดและอำเภอ ตำบล หมู่บ้านเล็กๆ เพราะเมืองใหญ่มีคนมาอยู่รวมกันมาก อยู่กันอย่างแออัด และผู้คนทำกิจกรรมร่วมกันมาก โดยเฉพาะในย่านชุมชนแออัด ย่านแคมป์คนงาน และคลัสเตอร์สถานบันเทิงต่างๆ 
    ถ้าเราปฏิรูปประเทศแบบกระจายอำนาจ/ทรัพยากร ทำให้จังหวัด (และอำเภอ, ตำบล) ต่างๆ เข้มแข็งทางเศรษฐกิจสังคมเพิ่มขึ้น ทำให้คนทั่วประเทศมีรายได้สูงขึ้น มีอำนาจซื้อมากขึ้น เศรษฐกิจภายในประเทศจะขยายตัวใหญ่ขึ้น

ไทยนั้นมีพื้นที่เพาะปลูก (อันดับที่ 20-21 ของโลก) มากสามารถผลิตอาหารและปัจจัยจำเป็นแบบพึ่งตนเอง (ระดับชุมชน) ได้สูง ถ้ามีการจัดการที่ดี แนวทางใหม่นี้จะแก้ปัญหาทั้งเรื่องเศรษฐกิจสังคมการเมืองได้อย่างถูกทางและยั่งยืนกว่า รวมทั้งแก้ปัญหาโรคระบาด ปัญหาสาธารณสุข ปัญหาที่อยู่อาศัย สิ่งแวดล้อม ฯลฯ ได้ดีขึ้นด้วย

การที่เศรษฐกิจไทยพึ่งนักท่องเที่ยวต่างประเทศ การลงทุน การค้ากับต่างประเทศเป็นสัดส่วนสูงเกินไป เป็นจุดอ่อนที่เห็นได้ชัด ถ้าเรากระจายทรัพย์สินรายได้ การศึกษา ความรู้ข้อมูลข่าวสาร ฐานะอำนาจต่อรองทางสังคมสู่คนส่วนใหญ่อย่างทั่วถึง เป็นธรรม จะทำให้คนไทยส่วนใหญ่ (เกือบ 70 ล้านคน) มีผลิตภาพ (ประสิทธิภาพการทำงาน) สูงขึ้น ฐานะรายได้สูงขึ้น อำนาจซื้อเพิ่มขึ้น ตลาดภายในประเทศของไทยจะใหญ่ขึ้น เศรษฐกิจสามารถเติบโตจากภายในประเทศได้ และลดการพึ่งพาการลงทุนการท่องเที่ยวการค้ากับต่างประเทศลงมาได้
    ถ้าคนไทยส่วนใหญ่ในต่างจังหวัดรวมทั้งคนจนในกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีรายได้เพิ่มขึ้น พวกเขาก็จะไปเที่ยวและซื้อของต่างๆ เพิ่มขึ้นได้มาก เทียบกับฝรั่งเศส อังกฤษ ที่มีประชากรทั้งประเทศพอๆ กับไทย แต่ประชาชนส่วนใหญ่ของเขามีผลิตภาพ มีฐานะรายได้สูง เศรษฐกิจภายในประเทศของเขาจึงใหญ่กว่าไทยหลายเท่า 
    ถ้าเราส่งเสริมให้ในต่างจังหวัดมีคนมีความรู้ ความสามารถ ไปอยู่แบบมีงานทำ มีรายได้เหมาะสม ทำงานเพิ่มขึ้น พวกเขาจะเป็นกำลังผลักดันให้รัฐบาลกลางที่กรุงเทพฯ ต้องกระจายอำนาจ ความรับผิดชอบ งบประมาณ ทรัพยากรไปสู่จังหวัดต่างๆ ให้จังหวัดจัดการตนเองได้เพิ่มขึ้น และจะช่วยให้เศรษฐกิจสังคมของประเทศพัฒนาได้อย่างสมดุล เป็นธรรม เราจะแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจสังคมต่างๆ ได้มากขึ้น ประชาชนส่วนใหญ่จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
    รัฐบาลควรปฏิรูปที่ดิน เอาที่ดินภาครัฐที่ยังไม่ได้ทำประโยชน์จริงจังเกือบ 20 ล้านไร่ มาจัดสรรครอบครัวละ 1 ไร่ และอุดหนุนส่งเสริมให้คนที่พร้อมออกไปทำการเกษตรแบบผสมผสาน พึ่งพาตนเองได้เป็นหลัก จะเป็นการสร้างงานให้คนนับ 10 ล้านครอบครัว สร้างผลผลิตโดยเฉพาะอาหาร ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด รวมทั้งควรส่งเสริมการสร้างผลผลิตเกษตรอื่นๆ ป่าไม้โตเร็ว การแปรรูปสินค้าเกษตร หัตถการและอื่นๆ ได้อย่างหลากหลาย กว้างขวางมากขึ้น
    นโยบายแก้ปัญหาแบบกู้เงินมาแจกประชาชนให้มีเงินไปซื้อของและการอุดหนุนธุรกิจแบบเก่า ยังเป็นการฝากความหวังแบบมองโลกดีเกินจริงว่านักท่องเที่ยวต่างประเทศจะกลับมาใน 6 เดือนหรือ 1 ปีข้างหน้าและเศรษฐกิจจะกลับไปเหมือนเดิม ทั้งๆ ที่มีความเป็นไปได้น้อยมาก การกู้เงินมาอุดหนุนการบริโภค การท่องเที่ยว ร้านอาหาร ร้านค้าต่างๆ ก็เป็นแค่มาตรการระยะสั้น เป็นเรื่องการบริโภคให้หมดไปมากกว่าเพิ่มการผลิต (สินค้าและบริการ) 
    ไทยมีทรัพยากรธรรมชาติค่อนข้างมาก ประชากรมาก มีโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจค่อนข้างดี คนรวย คนชั้นกลาง ก็มีทรัพย์สินรายได้มาก ฯลฯ รัฐบาลอยู่ในวิสัยที่จะปฏิรูปทางการคลัง งบประมาณ เก็บภาษีทรัพย์สินและรายได้จากคนรวยในอัตราก้าวหน้าเพิ่มขึ้น เพื่อจะได้มีงบประมาณมาแก้ไขปัญหาและปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างเอาจริงได้ ธนาคารแห่งประเทศไทยสามารถออกซอฟท์โลน (เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ) ให้กับผู้ประกอบการขนาดย่อม ขนาดกลาง เพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจได้มากกว่านี้ 
    นี่คือสถานการณ์แบบสงครามที่รัฐบาลควรคิดนอกกรอบระบบทุนนิยมเสรี กล้าผ่าตัดระบบเศรษฐกิจ แบบดึงเงินจากคนรวยและสมบัติส่วนรวมของภาครัฐมาช่วยให้คนส่วนใหญ่ที่จน/มีปัญหา อยู่รอดและเจริญเติบโตในระยะยาว (อย่างยั่งยืน) ต่อไปได้