โควิด-19 ชี้ว่าเราต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (จบ)

โควิด-19 ชี้ว่าเราต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (จบ)

บทคัดย่อหนังสือเรื่อง Covid-19: The Great Reset ตอนนี้มาจากเนื้อหาของบทที่ 3 ซึ่งพูดถึงผลของโควิด-19ในระดับบุคคลและบทสรุป

การระบาดของโควิด-19 ชี้ให้เห็นอีกครั้งว่ามนุษย์เรามีความเปราะบางท่ามกลางความไม่แน่นอนสูง พร้อมกับชี้ให้เห็นธรรมชาติธาตุแท้ของเราด้วย  ในขณะที่ส่วนหนึ่งแสดงความเมตตากรุณาออกมาให้เห็นในรูปของการช่วยเหลือผู้อื่นทันที มีอีกส่วนหนึ่งซึ่งแสดงพฤติกรรมเลวร้ายโดยการกระจายข่าวเท็จให้เกิดความกลัวและความแตกแยกจากในระดับชุมชนไปจนถึงระดับประเทศ  พร้อมกันนั้นมันบ่งบอกถึงฐานด้านคุณธรรมของเราในการแสดงความเห็นและตัดสินใจในด้านต่าง ๆ เช่น การเลือกระหว่างการสวมหรือไม่สวมหน้ากาก การยอมให้มีคนตายเพิ่มขึ้นบ้างโดยไม่ปิดห้างร้านและสถานบันเทิง
    นอกจากจะมีผลกระทบร้ายแรงต่อรางกายแล้ว โควิด-19 ยังมีผลกระทบต่อจิตใจสูงอีกด้วย  จำนวนผู้มีความเครียด ซึมเศร้า วิตกกังวลและสิ้นหวังที่กำลังเพิ่มขึ้นอยู่แล้วจึงพุ่งสูงขึ้นไปอีก  ภาวะเช่นนี้อาจจะอยู่ต่อไปอีกนานและมีผลต่อพฤติกรรมในทางลบรวมทั้งการทะเละเบาะแว้งในครอบครัวถึงขั้นทำร้ายร่างกายกัน  จริงอยู่เทคโนโลยีใหม่เอื้อให้เราพบกันได้ทางจอคอมพิวเตอร์ผ่านโปรแกรมจำพวกซูม แต่การพบกันแบบนี้จะมีผลกระทบอย่างไรในระยะยาวยังคาดเดาไม่ได้

มองในด้านดี โควิด-19 เปิดโอกาสให้มนุษย์เราทบทวนว่าอะไรมีความสำคัญมากน้อยเพียงไรต่อชีวิตเรา  จริงอยู่ ผลของการทบทวนคาดเดาได้ยากว่าจะออกมาอย่างไร แต่มี 4 ด้านที่อาจพอคาดเดาได้คือ ด้านความคิดสร้างสรรค์จะส่งผลให้เกิดนวรรตกรรมใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น  ด้านเวลาจะทำให้เห็นค่าของการใช้เวลาแบบไม่รีบเร่งเพื่อความสุขของตัวเองมากขึ้น  ด้านการบริโภคจะเปลี่ยนไปในทางลดการบริโภคสิ่งที่ไม่จำเป็นเพื่อแข่งขันหรืออ้วดอ้างกัน และสุดท้าย เราจะให้ความสำคัญแก่การดูแลร่างกายมากขึ้นโดยเฉพาะจากด้านบทบาทของธรรมชาติต่อความเป็นอยู่ที่ดี 
    โดยสรุป โควิด-19ทำสภาพการณ์ต่าง ๆ ของโลกให้เด่นชัดยิ่งขึ้นรวมทั้งความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรม ความแตกแยก การขาดดุลงบประมาณ การเป็นหนี้สิน การขาดกรอบพื้นฐานของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติในระดับโลก การบูชาเงิน และความเสื่อมของสิ่งแวดล้อม  การตัดสินใจทำอะไรต่อไปของเราจะเป็นตัวชี้บ่งว่าสภาพการณ์เหล่านี้จะดีขึ้น หรือเลวร้ายลง  จริงอยู่เมื่อเทียบกับการระบาดของโรคร้ายครั้งใหญ่ ๆ 
    ในอดีต โควิด-19 อาจทำให้ป่วยไข้และตายในอัตราน้อยกว่าการระบาดในอดีต แต่ถ้าเราไม่ทำอะไรในด้านช่วยปรับสภาพการณ์ต่าง ๆ ให้ดีขึ้น ปัญหาที่ตามมาจะร้างแรงกว่าในอดีต  กุญแจดอกสำคัญที่จะทำให้สภาพการณ์ดีขึ้นคือ ความร่วมมือกันอย่างจริงจังทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ

ข้อสังเกต – หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นมากว่า 1 ปี จึงใช้ข้อมูลการระบาดของโควิด-19ในช่วงเวลาราว 6 เดือนเท่านั้น  แต่ภาพที่สะท้อยออกมาบ่งชี้ว่าผู้เขียนอ่านสถานการณ์ไม่ผิด  หลังเวลาผ่านไปใกล้ 2 ปี ยังไม่มีตัวบ่งชี้ว่าการระบาดยุติเมื่อไรทั้งที่โลกมีวัคซีนป้องกันและวิธีรักษาพยาบาลสำหรับมันแล้ว  
    น้ำเสียงของผู้เขียนบ่งชึ้ถึงการฝากความหวังไว้กับทางด้านดีของธรรมชาติธาตุแท้ของมนุษย์เราซึ่งแสดงออกมาให้เห็นโดยทั่วไป  อย่างไรก็ดี ณ วันนี้ ตัวบ่งชี้ของการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและความร่วมมือกันซึ่งกำลังเกิดขึ้นนั้นถูกกลบเกือบหมดด้วยภาพของการแตกแยก  ในเมืองไทย ความแตกแยกและการประท้วงต่อต้านรัฐบาลเกิดขึ้นแบบแทบรายวัน  ในสหรัฐ ความแตกแยกร้ายแรงขึ้นถึงขนาดทำร้ายร่างกายกันและเกือบจะนำไปถึงขั้นฉีกรัฐธรรมนูญ  
    ความคุกรุ่นของสงครามเย็นระหว่างขั้วมหาอำนาจที่มีสหรัฐ จีนและรัสเซียเป็นแกนนำเพิ่มความร้อนแรงขึ้น  การใช้จ่ายทั้งเพื่อแก้ปัญหาผ่านการเยียวยาและการรักษาพยาบาลผู้ได้รับผลกระทบและเพื่อซื้อหาอาวุธยุทโปกรณ์จะเพิ่มการขาดดุลและภาระหนี้สิ้นขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทั้งในระดับรัฐบาลและในระดับบุคคล  ด้วยเหตุนี้ การฝากความหวังของผู้เขียนไว้กับธาตุแท้ในทางดีของมนุษย์เราจะต้องเป็นจริงในเร็ววัน  มิฉะนั้น ภูมิคุ้มกันที่เรามีอยู่จะไม่พอ