เข้าพรรษาปี’๖๓ ละชั่ว..ไม่ติดดี (ละความอัปรีย์กันเถิด!!)

เข้าพรรษาปี’๖๓ ละชั่ว..ไม่ติดดี (ละความอัปรีย์กันเถิด!!)

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา ... บนเส้นทางชีวิตของสัตว์โลก ย่อมมีการกระทำอยู่ ๒ ด้าน

คือ ทำดีกับทำชั่ว ..โลกจึงสะท้อนให้เห็นความเป็นจริงที่แย้งกันอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นความสว่าง .. ความมืด ร้อน .. เย็น หรือ ความสุขกับความทุกข์ แม้จะมีธรรมคั่นระหว่าง ๒ ด้าน ก็เป็นไปเพื่อให้เห็นในความต่างที่ย่อมมีความเหมือน เมื่อเข้าสู่ความเป็นกลางที่ไม่สุดโต่งไปด้านใดด้านหนึ่ง

เรื่องจุดกึ่งกลางระหว่างสองด้าน .. สองขั้วที่ตรงข้ามกัน ถูกนำมาเป็นปรัชญาชีวิต เพื่อปฏิปทาหรือการดำเนินชีวิตที่เป็นไปด้วยสติปัญญา... เพื่อการพัฒนาองค์ความรู้อันประเสริฐให้กับชีวิตในการนำไปสู่การกระทำความเพียรอันชอบ...

การหาจุดกึ่งกลางในทุกสรรพสิ่งที่เคลื่อนไหวหรือในสภาวธรรมที่ปรุงแต่งทั้งปวง นับเป็นงานค้นคว้าทางจิตวิญญาณที่ท้าทายต่อการพัฒนาการทางจิตใจของมนุษยชาติเป็นอย่างยิ่ง... เพื่อการบรรลุผลแห่งการรู้แจ้งในธรรมชาติของชีวิตหรือสิ่งนั้นๆ .. ว่าแท้จริง มีสัจธรรมเป็นอย่างไร

การเข้าให้ถึงจุดกึ่งกลางที่มีอาการ หยุด วาง นิ่ง สงบ .. ในสิ่งที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปมา .. มีความเกิด ความดับ ส่งต่อสืบเนื่อง อันเป็นไปตามเหตุปัจจัยนั้นๆ นับว่าเป็นงานศึกษาที่ละเอียดประณีตลึกซึ้ง รู้ตามได้ยาก ..เห็นตามได้ยาก ..ไม่ได้สำเร็จด้วยความนึกคิด เป็นวิสัยของผู้มีสติปัญญาถึงพร้อมเท่านั้นที่จะรู้ได้.. ซึ่งเป็นงานที่ท้าทายต่อศักยภาพของมนุษยชาติในแต่ละยุค.. แต่ละสมัย... เพื่อการบรรลุถึงความรู้อันประเสริฐ... ..ความจริงขั้นสูงสุดอันเป็นไปเพื่อการดับทุกข์ ที่เรียกในพุทธศาสนาว่า อริยสัจธรรม

ดังปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากการเพียรเจริญสติ เพื่อกำหนดลงไปในลมหายใจเข้าออก จนเกิดความรู้ชัด... จนสามารถศึกษาหรือสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงไปมา มีความเกิด ความดับ ของลมหายใจเข้าออกแต่ละคู่ที่สัมพันธ์กับกายจิต.. แสดงความดำรงอยู่อย่างสืบเนื่องของชีวิตเรา.. เพื่อให้เห็นความเป็นจริงในความดำรงอยู่ว่า แท้จริง มีความเป็นธรรมดาเป็นเช่นนี้.. คือ มีความเกิดขึ้นขณะหนึ่ง ตั้งอยู่หรือดำรงอยู่ขณะหนึ่ง และมีความเสื่อมสิ้นไปขณะหนึ่ง ซึ่งเป็นปกติธรรมอันเป็นไปตามธรรมชาติในสรรพสิ่งทั้งหลาย... ว่า มีสามัญธรรมอย่างนี้.. ดังที่สรุปว่า.. สิ่งทั้งหลายมันเป็นอย่างนี้เอง !!

ในความเป็นอย่างนี้เองของสภาวธรรมทั้งหลาย ที่สะท้อนความไม่เที่ยงแท้แน่นอน .. ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตน.. แท้จริง มีสิ่งนี้คั่นอยู่ระหว่าง ได้แก่ ความสงบนิ่ง ซึ่งตั้งอยู่ ณ. ใจกลาง .. รอยต่อระหว่าง ๒ ด้าน คือ ความเกิดกับความดับ ซึ่งหากสามารถกำหนดรู้ลงที่จุดดังกล่าวได้ ย่อมเห็นชัดในความผันแปรแห่งสภาวธรรมทั้งหลายที่มีความแตกต่างกันในส่วนที่ตรงข้ามกัน...

การรวมรู้ลงที่ใจกลาง .. ด้วย หยุด สงบ นิ่ง ของจิต จะก่อเกิดการพัฒนาศักยภาพของตัวผู้รู้ .. เพื่อให้เกิดการรู้อย่างมีประสิทธิภาพ .. จนสามารถรู้แจ้งตรงอาการนั้น .. แม้ในจุดที่รู้สงบนิ่งนั้น.. จึงก่อเกิดองค์ความรู้ในตัวผู้รู้ให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อการเข้าถึงความรู้นั้นๆ อย่างแจ้งจริง.. จนก่อเกิดปัญญาชอบ (สัมมัปปัญญา) มีความเห็นชอบในธรรมชาติแห่งสภาวธรรมทั้งหลาย .. ว่า มีความเป็นธรรมดา .. อย่างนี้.. อย่างนี้.. อย่างนี้ !!

พระพุทธศาสนาของเรา .. พระพุทธเจ้าทรงค้นพบธรรมชาติของโลกียจิตว่า ต้องเป็นไปอย่างนี้.. อย่างนี้.. อย่างนี้ ไม่จบไม่สิ้น.. ตราบไม่สิ้นเหตุปัจจัยคือกิเลส.. จึงได้ตรัสรู้ถึงการพัฒนาจิต เพื่อให้พ้นจากอำนาจกิเลส.. เพื่อการเข้าถึงโลกุตรธรรม โดยหลักธรรมปฏิบัติด้วยการพัฒนาจิตให้เข้าสู่ใจกลางที่ สงบ นิ่ง .. จนรู้เท่าทัน ตรงอาการ เพื่อนำไปสู่การปล่อยวาง .. ไม่ยึดถือในความเป็นตัวตนในสิ่งทั้งหลาย แม้ที่สุด ชีวิตที่เคยหลงนึกว่าเป็นเรา.. เป็นของเรา.. เป็นตัวตนของเรา.. ด้วยการไม่ติดรัก .. ไม่ติดชัง หรือไม่เข้าไปเสพในสองส่วนสุด ด้วยการดำเนินไปตามหลักทางสายกลาง ที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา.. หรืออริยมรรคอันมีองค์แปด ได้แก่ สัมมาทิฐิเป็นเบื้องต้น.. และมีสัมมาสมาธิเป็นที่สุด.. เพื่อการบรรลุถึงสัมมาญาณ .. และสัมมาวิมุตติ !!

การดำเนินไปบนหนทางสายกลางนั้น .. จะปรากฏลักษณะธรรมอย่างหนึ่ง เรียกว่า อตัมมยตา แปลว่า ไม่สำเร็จมาจากสิ่งนั้น.. เป็นภาวะนอกเหนือการปรุงแต่ง.. หรือไม่มีอะไรปรุงแต่งได้อีกต่อไป (Unconditionability) พูดภาษาธรรมแบบหลวงพ่อพุทธทาสว่า ชั่วไม่ทำ แม้ดีก็ไม่ติด.. ด้วยติดชั่ว ติดดี อัปรีย์ทั้งนั้น !!

เข้าพรรษาปี ๒๕๖๓ นี้ จึงขอเชิญชวนสาธุชนทั้งหลายมาร่วมกันพัฒนาจิตตามหลักธรรมสายกลาง.. เพื่อการไม่ทำชั่ว ไม่ติดดี.. ไม่อัปรีย์กันเถิด... ชีวิตของเรา ตลอดจนถึงประเทศชาติ จะได้สงบสุขสักที !!

เจริญพร