เมื่อยุคของ AI ต้องล่มสลาย

ขอเกริ่นก่อนว่าเมื่อผมพูดถึง AI (Artificial Intelligence) ผมไม่ได้ต้องการหมายถึง AI เพียงอย่างเดียวเป็นการเฉพาะ แต่ผมจะใช้ AI
เป็นตัวแทนของเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่หลายคนรวมทั้งผม ซึ่งเป็นอดีตอาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไม่รู้เรื่องและตามไม่ทัน คือ AI ในที่นี้ผมจะให้หมายรวมถึงระบบอัตโนมัติ (Automation) หุ่นยนต์ (Robotics) อินเตอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (Internet of Things, IOT) บล็อกเชน (Blockchain) การทำเป็นดิจิทัล (Digitalization) และการเรียนรู้ของเครื่องยนต์ (Machine Learning) และคำทางเทคโนโลยีอื่นๆที่เชื่อว่าจะมีตามมาอีกมากมาย
คงไม่ต้องอธิบายกันให้มากความว่า AI พวกนี้จะทำให้คนจำนวนมากตกงาน องค์การทางเศรษฐกิจโลกที่ชื่อว่า World Economic Forum (WEF)ได้ทำนายว่างานทั่วโลกจะหดหายไปถึง 75 ล้านตำแหน่งในปี ค.ศ.2022 หรือ พ.ศ. 2565 หรืออีกเพียง 3-4 ปีข้างหน้านี้เอง ตำแหน่งงานที่จะหายไป 10 อันดับแรกได้แก่ 1) พวกเสมียนป้อนข้อมูล 2) เจ้าหน้าที่ทำบัญชีเงินเดือน 3) เลขานุการฝ่ายบริหาร 4) คนงานในโรงงาน 5) พนักงานบริการลูกค้า 6) ผู้จัดการการบริหารและบริการธุรกิจ 7) นักบัญชีและผู้ตรวจสอบบัญชี 8) เสมียนหรือเจ้าหน้าที่คุมสต็อก 9) ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการทั่วไป และ 10) เจ้าพนักงานในการไปรษณีย์
แต่ในวิกฤติย่อมมีโอกาส เมื่องานประเภทแรงงานหรือการจัดการขั้นพื้นฐานหายไป งานด้านใช้สมอง ใช้ความรู้ ใช้ทักษะทางวิทยาศาสตร์ (S) เทคโนโลยี (T) วิศวกรรมศาสตร์ (E) และคณิตศาสตร์ (M) หรือ STEM ก็เข้ามาแทนที่ WEF ได้ทำนายว่าตำแหน่งงานด้านนี้ในโลกจะเพิ่มขึ้นถึง 133 ล้านตำแหน่งในปี 2022 ซึ่ง 10 ลักษณะงานหรือประเภทงานที่จะมีมากขึ้นได้แก่ 1) นักวิทยาศาสตร์วิเคราะห์ข้อมูล 2) ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน AI และการเรียนรู้ของเครื่องยนต์ 3) ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการทั่วไป (แต่งานนี้จะแตกต่างจาก ข้อ 9 ของงานที่จะหายไป คือ ผู้จัดการฝ่ายคนนี้จะต้องรู้และเข้าใจในงานกลุ่ม AI ด้วย) 4) นักวิเคราะห์และนักพัฒนาแอ็พและซอฟต์แวร์ 5) มืออาชีพด้านการตลาดและการขาย (ซึ่งก็ต้องมีความเชี่ยวชาญงานด้านกลุ่ม AI เป็นพื้นฐานเช่นกัน) 6) ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะในเรื่อง Big Data 7) ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะในด้านการแปลงทางดิจิทัล (Digital Transformation) 8) ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ (ซึ่งน่าจะมีตามมาอีกมากมาย) 9) ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการพัฒนาองค์กร และ 10) เจ้าหน้าที่บริการด้านไอที (IT)
ศาสตราจารย์ Hum Sin Hoon จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ ได้เคยบรรยายว่าทักษะสำคัญที่คนรุ่นต่อไปต้องมี มีอยู่ 3 อย่าง คือ อ่านข้อมูลได้ ใช้เทคโนโลยีเป็น และเห็นคนให้เป็นคน (Data Literacy, Technology Literacy and Human Literacy) ทักษะชุดสุดท้ายหรือชุดที่สามนี้ แม้จะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนมีโอกาสเกือบเท่าๆ กันที่จะเรียนรู้และฝึกฝนให้ใช้งานได้และใช้เป็น แต่อีกสองทักษะนั้นกลับเป็นเรื่องที่ยากไปจนถึงยากมากสำหรับคนจำนวนมาก และคนกลุ่มนี้แหละที่จะถูกปลดออกจากงานด้วยงานที่ทำอยู่จะถูกแทนที่ด้วยงานกลุ่ม AI
ดังนั้น จากรายงานของ WEF ที่ว่าจะมีตำแหน่งงานเพิ่มขึ้น 133 ล้าน ซึ่งมากกว่างานที่จะหายไปที่มีเพียง 75 ล้านตำแหน่ง ซึ่งคงจะฟังดูดีได้เพียงในแง่ตัวเลข โดยเฉพาะของประเทศไทยที่เดาได้ว่างานเพิ่มลดนี้จะไม่เป็นไปตามแนวโน้มของโลกที่ WEF ทำนายไว้ แต่ทว่าตำแหน่งงานเพิ่มในไทยจะน้อยกว่าตำแหน่งงานที่หายไป นั่นคือความรุนแรงของปัญหาในบ้านเราจะมากกว่าของระดับโลกอย่างมาก เหตุผลง่ายๆก็คือ ความพร้อมด้านพื้นฐานของ STEM เรายังมีไม่พอ เพราะอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นกลุ่มคนที่ตกงานจะไม่สามารถเรียนรู้อีก 2 ทักษะที่อิงความรู้ด้าน STEM เป็นอย่างมากนั้นได้ และเมื่อตกงาน งานใหม่ที่เกิดขึ้นก็ทำไม่ได้หรือไม่เป็น ผลคือรายได้หดหาย จนลง เกิดเป็นสภาพเศรษฐกิจชักหน้าไม่ถึงหลัง ยังผลให้ความเหลื่อมล้ำที่มีมากอยู่แล้วในปัจจุบันจะทวีคูณขึ้นไปจนเหลือที่จะคาดเดา
เมื่อมีคนแบบนี้มากขึ้นๆ จนถึงวันนั้น วันที่พวกเขามองไปข้างหน้าแล้วไม่เห็นอนาคต จะเห็นก็เพียงแต่ความเหลื่อมล้ำที่ถ่างมากจนทนไม่ไหว คนกลุ่มนี้ก็จะออกมา และจะไม่ได้ออกมาเพียงเรือนร้อยเรือนพัน แต่จะเป็นเรือนหมื่นเรือนแสน แม้กระทั่งเรือนล้าน
และเมื่อถึงวันนั้น ยุคของงานกลุ่ม AI ก็คงล่มสลาย อยู่ไม่ได้เช่นเดียวกัน
แต่มันเป็นสิ่งที่เราทุกคนไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้น ดังนั้นจะต้องหามาตรการมารองรับมันไว้ก่อนที่จะสายเกินไป มาตรการหรือทางออกของมันคือ ต้องเตรียมคน เตรียมสังคม เตรียมรัฐบาล เตรียมความรู้ และเตรียมงบไว้ให้พร้อม
แล้วเราล่ะ เตรียมพร้อมกันไว้แล้วหรือยัง
สำหรับผม ผมยังมองไม่เห็นนะ







