มองศาสนา จากเรื่องราวของชาวอามิช

คงเป็นที่ทราบกันบ้างแล้วว่า อเมริกามีชนกลุ่มน้อยชื่อ “อามิช” ชนกลุ่มนี้มีราว 3 แสนคนซึ่งตั้งชุมชนเล็กๆ
กระจัดกระจายอยู่ในสหรัฐ การดำเนินชีวิตของชาวอามิช มีประเด็นน่าสนใจหลายอย่าง รวมทั้งเรื่องศาสนาในภาวะที่เมืองไทยกำลังขัดแย้งรุนแรง ระหว่างภาครัฐกับสำนักธรรมกาย เรื่องราวของชาวอามิชมีรายละเอียดอยู่ในหนังสือชื่อ “อเมริกาที่ยังใช้ม้าเทียมไถ” ซึ่งดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ของมูลนิธินักอ่านบ้านนา www.bannareader.com
ชาวอามิชอพยพจากยุโรปไปอยู่ในอเมริกา เพราะถูกทำร้ายทั้งจากภาครัฐและฝ่ายศาสนา ในช่วงที่เกิดความขัดแย้งรุนแรงในศาสนาคริสต์เมื่อหลายร้อยปีก่อน ความขัดแย้งนั้นนำไปสู่การก่อตั้งนิกายโปรเตสแตนต์ ชาวอามิชดำเนินชีวิตตามที่พวกตนตีความหมาย คำสอนของศาสนาคริสต์ กล่าวคือ ดำเนินชีวิตแบบเรียบง่าย โดยไม่รับเทคโนโลยีใหม่และอาศัยการพึ่งพากันเอง ด้านศาสนา พวกเขารอจนกว่าเด็กอายุย่างเข้าวัยผู้ใหญ่ จึงจะให้ตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมดำเนินชีวิต เป็นชาวคริสต์ตามแนวของชุมชนหรือไม่ หากเด็กตัดสินใจไม่เข้าร่วม เขาต้องออกไปจากชุมชน
ชาวอามิชเคร่งครัดในการปฏิบัติมาก ในบ้านของพวกเขาจึงไม่มีไฟฟ้า และยังไถนาด้วยการใช้ม้าลากไถ พวกเขาไม่สร้างศาสนวัตถุใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปของศาสดา หรือโบสถ์ สถานที่สำหรับประกอบพิธีทางศาสนามักเป็นโรงนา หรือบ้านซึ่งพวกเขาหมุนเวียนกันเป็นเจ้าภาพ
ชาวอามิชเคยมีข้อขัดแย้งกับภาครัฐเกี่ยวกับการเป็นทหาร การศึกษาและเรื่องภาษี ชาวอามิชไม่ยอมเป็นทหาร เพราะเชื่อว่าการฆ่ามนุษย์เป็นข้อห้าม พวกเขายอมทำงานที่รัฐบาลกำหนดให้ รวมทั้งงานในโรงพยาบาลและงานกรรมกร ด้านการศึกษา ชุมชนอามิชขอจัดการศึกษาเองโดยให้เด็กเรียนแค่ชั้น ม. 2 ทั้งนี้เพราะพวกเขามองว่า เด็กเรียนเพียงความรู้พื้นฐานเท่านั้นพอ และการเรียนสูงมักทำให้เกิดความโอหัง หลังจากต่อสู้กันอยู่นาน รัฐบาลยินยอม ส่วนเรื่องภาษี ชาวอามิชยอมจ่ายภาษีทุกอย่าง รวมทั้งภาษีที่ภาครัฐเก็บไปเพื่อใช้จ่ายในด้านสวัสดิการสังคม ทั้งที่ในยามแก่เฒ่าพวกเขาไม่รับเงินสวัสดิการจากภาครัฐ ทั้งนี้เพราะชุมชนของเขาดูแลคนแก่เอง
ในปัจจุบัน ชาวอามิชมีความเป็นอยู่แบบสงบเรียบง่ายในแนวของเขา ท่ามกลางสังคมอเมริกันซึ่งมักหลับตาวิ่งตามเทคโนโลยี และบริโภคแบบไม่มีที่สิ้นสุด สังคมอามิชแทบไม่มีคดีละเมิดกฎหมาย ในขณะที่ชาวอเมริกันทำกันอย่างแพร่หลายจนแทบไม่มีคุกจะขัง ทั้งนี้เพราะมีนักโทษเกิน 2 ล้านคนซึ่งสูงที่สุดในโลก
อนึ่ง รัฐบาลอเมริกันยอมผ่อนปรนแก่ชาวอามิช แต่ไม่ยอมผ่อนปรนให้ในกรณีทำผิดกฎหมายร้ายแรง แม้จะอ้างว่าทำตามคำสอนของศาสนาก็ตาม ในช่วง 40 ปีมานี้จึงมีกรณีของจิม โจนส์ และของเดวิด โคเรช จิม โจนส์อ้างว่าจะนำหน้าผู้มีศรัทธาไปสวรรค์ ตามแนวที่เขาตีความหมายคำสอนของศาสนาคริสต์ ส่วนเดวิด โคเรช อ้างว่าตนเป็นต้นธาตุต้นธรรมซึ่งมีแนวปฏิบัติใหม่ แต่ทั้งสองละเมิดกฎหมายร้ายแรง ทั้งในด้านการตบทรัพย์ของผู้มีศรัทธา และล่วงละมิดทางเพศต่อสตรี ซึ่งทั้งมีและไม่มีสามีรวมทั้งเด็ก จิม โจนส์พาผู้ศรัทธาหนีจากอเมริกาไปตั้งสังคมใหม่ในกายอานา และต่อมาพากันดื่มยาพิษตายไปกว่า 900 คนเมื่อเขาจะถูกจับ ส่วนเดวิด โคเรชและผู้ติดตามตายไปรวม 80 คนเมื่อรัฐบุกเข้าจับเขาในศาสนสถาน
หากมองจากอเมริกามายังเมืองไทยอาจพบว่า กรณีของสำนักสันติอโศกคล้ายกรณีของชาวอามิช สันติอโศกอยู่อย่างเรียบง่ายได้ต่อมา ส่วนกรณีของสำนักธรรมกายมองได้ว่าคล้ายกรณีของจิม โจนส์ และของเดวิด โคเรสรวมกัน ธรรมกายอาจไม่มีเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศ แต่มีการอ้างตนเป็นผู้วิเศษแนวต้นธาตุต้นธรรม และมีพฤติกรรมในด้านการตบทรัพย์ อีกทั้งยังมีผู้ศรัทธาแรงกล้าจนสามารถสละชีวิตได้ ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นที่น่ากังวลว่า ความขัดแย้งระหว่างภาครัฐกับธรรมกาย อาจจะไม่ยุติจนกระทั่งเกิดการเสียเลือดเสียเนื้อ รวมทั้งของเจ้าหน้าที่ ผู้มีศรัทธาและผู้ตั้งตัวเป็นหัวหน้าของนิกายพร้อมสาวกใกล้ชิด




