5 บริษัทชั้นนำด้านการบริหาร Gen Y

5 บริษัทชั้นนำด้านการบริหาร Gen Y

มีองค์กร 5 แห่งได้รับการยกย่องว่าเก่งกาจในการบริหาร Gen Y บริษัทเหล่านี้เป็นใครและเขามีวิธีอย่างไร

พูดกันหนาหูมาหลายปีแล้วเรื่องของพนักงาน Gen Y หรือที่เรียกกันว่าพวก Millennials ว่าเป็นกลุ่มคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ไฮ-เทคที่จะเข้ามาแทนที่ Baby Boomers และมาร่วมทำงานกับ Gen X

ประเด็นการบริหารพนักงาน Gen Y นี้ดูจะสร้างความสนใจและความกังวลใจให้ผู้บริหารหลายองค์กรซึ่งออกปากว่า “ไม่ค่อยเข้าใจคนรุ่นนี้” หรือ “ไม่รู้จะบริหารจูงใจคนรุ่นนี้อย่างไรดี” เพราะเท่าที่พบเจอมา ผู้บริหารผู้อาวุโสกว่าได้บรรยายถึงพนักงาน Gen Y ว่า “เด็กกลุ่มนี้เอาใจยาก ขี้เบื่อง่าย ทำงานไม่ค่อยอดทน อยากก้าวหน้าเร็วๆ ได้เลื่อนขั้นเร็วๆ แต่อยู่ไม่นานก็ลาออก...”

ฟังดูแล้วหาก Gen Y ได้บังเอิญมาอ่านบทความนี้ก็อย่าเพิ่งหงุดหงิดโมโหเลิกอ่านไปเสียก่อนนะคะ นี่คือความเห็นจากมุมมองของหัวหน้างานและนายจ้างหลายองค์กรทั่วโลกที่มีต่อพนักงาน Gen Y ค่ะ ต้องย้ำว่าเป็นมุมมองของผู้บริหารทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยเท่านั้น

ทั้งนี้จะเป็นเพราะพนักงาน Gen Y มีลักษณะแบบที่กล่าวมาจริงๆหรือเป็นเพราะผู้บริหารที่อาวุโสกว่าไม่มีจิตวิทยา และไม่เข้าใจความคิดความต้องการของ Gen Y งานนี้ดิฉันไม่ขอฟันธง แต่ขอชวนคุยว่าจะมีวิธีการในการพัฒนาพนักงาน Gen Y ให้มีความสามารถในการปฏิบัติงานสืบทอดตำแหน่งจากผู้อาวุโสได้อย่างไร เพราะการที่พนักงาน Gen Y อยู่ทำงานกับองค์กรไม่ค่อยนาน โดยเฉลี่ยจากสถิติพบว่าประมาณ 2-3 ปีเป็นส่วนใหญ่

จึงเป็นการยากลำบากที่องค์กรจะวางแผนพัฒนาภาวะผู้นำให้กับบรรดา Gen Y ได้ เพราะอยู่ทำงานนานไม่พอ ดังนั้นการที่ Gen Y จะบ่นว่าองค์กรไม่ค่อยมีแผนพัฒนาให้พวกเขาเลย ก็ต้องพิจารณาด้วยเหมือนกันว่าตนเองอยู่ทำงานกับองค์กรนั้นๆนานพอให้ได้รับการพัฒนาหรือไม่ด้วย

ท่ามกลางความลำบากยากเย็นในการจูงใจ บริหาร พัฒนาและรักษาพนักงาน Gen Y ก็ยังมีหลายองค์กรที่ประสบความสำเร็จในการปฏิบัติภารกิจเหล่านี้จาก ดาร์ลีน เดอโรซ่า ที่ปรึกษาของบริษัทให้คำปรึกษาเรื่องการบริหารจัดการ Onpoint Consulting

เธอเป็นผู้มีประสบการณ์ในการทำงานให้กับองค์กรชื่อดัง อย่างเช่น Accenture Deloitte Johnson&Johnson เป็นต้น ดาร์ลีนได้ทำการศึกษาข้อมูลการบริหาร Gen Y ขององค์กรต่างๆแล้วได้ยกตัวอย่างองค์กร 5 แห่งที่ได้รับยกย่องว่าเป็นองค์กรที่เก่งกาจในการบริหาร Gen Y ตามกันมาอ่านเลยค่ะว่าบริษัทเหล่านี้เป็นใครและเขามีวิธีการในการพัฒนาและรักษาพนักงาน Gen Y กันอย่างไร

1.Power Home Remodeling หลายคนคงไม่ค่อยคุ้นหูชื่อนี้ เป็นบริษัทอเมริกันขนาดกลาง มีพนักงานประมาณ 1,700 คน แต่ติดอันดับ 1 ของนิตยสารฟอร์จูนว่าเป็นบริษัทที่น่าทำงานมากที่สุด คงเป็นเพราะ CEO และพนักงานส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นคน Gen Y (ประมาณ 84%) ที่มีอายุเฉลี่ยเพียง 29 ปี ผู้บริหารกับพนักงานจึง “พูดกันรู้เรื่อง” ง่ายมากกว่าคนต่างวัย บริษัทให้ความสำคัญกับการตอบสนองความต้องการของพนักงาน Gen Y โดยกำหนดเป็นเป้าหมายของวัฒนธรรมการทำงานขององค์กรเลยทีเดียว ผู้บริหารส่งเสริมการเลื่อนขั้นสนับสนุนพนักงานเพื่อสนองความฝันส่วนตัวและการพัฒนาทางสายอาชีพ (Career Development) ของพนักงาน มีการจัดการฝึกอบรมการสัมมนาจูงใจพนักงานมากมาย และมีการจัดพี่เลี้ยง (mentor) ในการดูแลพัฒนาพนักงานให้มีทักษะภาวะผู้นำตามโมเดลขององค์กรที่กำหนดไว้ ที่สำคัญคือองค์กรมีแผนกลยุทธ์การทำงานที่ชัดเจนเปิดเผย โดยที่การทำงานทุกอย่างต้องสร้างผลกระทบกับการพัฒนาทางสายอาชีพของพนักงานในองค์กร เป็นองค์กรที่คำนึงถึงการเชื่อมโยงเป้าหมายและผลลัพธ์ทางธุรกิจกับการเรียนรู้และการพัฒนาทางสายอาชีพของพนักงานอย่างจริงจัง

2.Acuity Insurance นี่ก็ไม่ใช่บริษัทยักษ์ใหญ่อะไร มีพนักงานประมาณ 1,110 คน ก่อตั้งมาได้ 16 ปี มีสถานะทางการเงินมั่นคงแน่นหนาและติดอันดับ 2 ของนิตยสารฟอร์จูนของการสำรวจบริษัทที่น่าทำงานมากที่สุด เป็นอีกตัวอย่างของบริษัทขนาดกลางที่ทุ่มเทและทุ่มทุนในการดูแลและพัฒนาพนักงานอย่างจริงจัง สิ่งที่องค์กรมอบให้พนักงานและสร้างความประทับใจให้พวกเขาจนอัตราการลาออกของพนักงานเหลือแค่เพียง 2% ต่อปีก็คือแผนค่ารักษาพยาบาลที่ใจดีมากๆ ดูแลสุขภาพกันอย่างจัดเต็ม ให้ทุนการศึกษาเล่าเรียนแบบเบิกได้เต็มที่ ผู้บริหารใส่ใจรับฟังความคิดเห็นของพนักงานทุกระดับ มีการสื่อสารที่เปิดเผยกับพนักงานเกี่ยวกับสถานะของบริษัทอย่างสม่ำเสมอและกระตุ้นให้พนักงานแสดงความเห็นเกี่ยวกับก้าวเดินต่อไปในอนาคตขององค์กร เชิญให้พนักงานเข้าร่วมการวางแผนกลยุทธ์ขององค์กร จัดให้พนักงานหมุนเวียนกันมารับประทานอาหารกลางวันกับผู้บริหารระดับ “C” (Chief) ทั้งหลายเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ผู้นำทุกระดับสนับสนุนให้พนักงานทุกคนแสดงความคิดสร้างสรรค์ต่อกิจกรรมต่างๆและโครงการต่างๆที่ทำ การที่พนักงานมีส่วนร่วมในการรับรู้ถึงสถานการณ์ขอองค์กรและร่วมคิด ร่วมให้ความเห็นเกี่ยวกับอนาคตขององค์กรคือกุญแจสำคัญที่ทำให้พนักงานรู้สึกตื่นตัวและมีความปรารถนาที่จะร่วมวิเคราะห์อนาคตกับผู้บริหาร เป็นการจูงใจให้พนักงานทำงานเชิงรุก (Pro-active approach) แทนที่จะรอรับคำสั่ง ทำงานเชิงรับ (Re-active approach) ซึ่งน่าเบื่อหน่ายจำเจแบบเดิมๆ นี่คือวิธีการที่ Acuity Insurance สร้างวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อมในการทำงานที่น่าตื่นเต้น มีความหมายน่าค้นหา (อนาคต) ให้กับพนักงาน Gen Y ที่องค์กรอื่นๆน่าจะนำหลักการนี้ไปพิจารณาดูนอกเหนือจากผลตอบแทนและสวัสดิการอันอู้ฟู่แล้ว

3.Ultimate software เป็นองค์กรที่เชี่ยวชาญเรื่องซอฟต์แวร์ที่ใช้ในงาน HR มีพนง. ประมาณ 3,300 คน ก่อตั้งมาประมาณ 26 ปีแล้ว องค์กรนี้ตระหนักดีว่าปัจจุบัน พนง. Gen Y รุ่นปลายๆที่อายุน้อยๆ จะอยู่ทำงานให้กับองค์กรต่างๆแค่ประมาณ 3.2 ปีโดยเฉลี่ย (และยิ่งวันจะยิ่งต่ำลงเรื่อยๆ) ดังนั้นการที่องค์กรนี้มีพนง. Gen Y ที่อยู่ทำงานให้กับองค์กรได้ถึง 7 ปี จึงถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่ต้องเฉลิมฉลองกัน (งานนี้พนง. Baby Boomers และ Gen X ที่อยู่ทำงานกันกว่า 10 ปีคงค้อนขวับ?) สำหรับกลยุทธ์ที่ใช้ในการบริหาร Gen Y ก็คือต้องให้สิทธิประโยชน์สวัสดิการมากมายไม่แพ้ชาวบ้าน หรือเหนือกว่าตามด้วยงานที่ท้าทายแบบพอดีๆ (ท้าทายมากไปเดี๋ยวเครียดเกิน พนง.จะไม่อยู่อีก) มีการให้การฝึกอบรมด้านบริหารจัดการออนไลน์ให้พนง.ไม่เว้นแม้กลุ่มที่ไม่ใช่ผู้จัดการ และยังมีฝึกอบรมในชั้นเรียนนำโดย CEO ของบริษัทซึ่งเป็นการฝึกอบรมการพัฒนาภาวะผู้นำ 2 วัน ชื่อโครงการ “Lead US” จัดสำหรับพนง.ระดับผจก.ขึ้นไป โดยตัว CEO เองไม่ได้มาปรากฏตัวแค่กล่าวเปิด-ปิดงานเท่านั้น แต่มานำการสนทนาถกปัญหาแบบนั่งโต๊ะกลมร่วมกับพนง.สร้างความเป็นกันเองใกล้ชิดมาก CEO ยังไม่ได้ทำตัวเป็นคนนำและผูกขาดการสนทนาแบบที่ CEO หลายองค์กรชอบทำ แต่จะกระตุ้นซักถามฟังความเห็นของพนง.และนำการสนทนาที่เปิดโอกาสให้ทุกคนได้แลกเปลี่ยนความเห็นกันทั่วถึง นอกจากนี้ระหว่างการฝึกอบรมยังมีรายการดินเนอร์ รายการ Cocktail hours ชั่วโมงนั่งดริ๊งค์ที่ทุกคนมาแจมวงสนทนาเฮฮาแบบมีสาระกับผู้บริหารได้ เพราะทั้ง CEO COO และ CPO และบรรดาผู้บริหารระดับ “C” ต่างๆจะมาร่วมวง...ทุ่มตัวทุ่มใจกันแบบนี้ ต้องอยู่ถึง 7 ปีแน่ๆ จริงไหมคะ

4. บริษัท Workday เป็นอีกองค์กรหนึ่งที่ให้บริการซอฟต์แวร์สำหรับงานการเงินและ HR องค์กรนี้มีจุดเด่นอยู่ที่การสร้างสมดุลย์ระหว่างการสร้างงานที่ท้าทายให้พนักงานกับการสร้างบรรยากาศการทำงานที่สนุกสนาน บริษัทมีโปรแกรมจัดการหมุนเวียนงาน (Job Rotation) ระหว่างแผนกที่ทำให้บริการเทคโนโลยีกับแผนกจัดการผลิตภัณฑ์ โปรแกรมนี้เปิดโอกาสให้พนักงานได้ทดลองสับเปลี่ยนหน้าที่งานเพื่อเพิ่มพูนความรู้ทักษะให้กว้างขึ้น และได้สำรวจตนเองด้วยว่ามีความสามารถหรือความชอบอื่นๆนอกเหนือจากหน้าที่งานประจำที่ทำอยู่หรือไม่ ดังนั้นเผลอๆองค์กรจึงอาจมีการแจ้งเกิดของม้ามืดนอกแผนกเมื่อไรก็ได้ ถือเป็นโปรแกรมพัฒนาพนง.ที่ดีมาก เท่านี้ยังไม่พอ บริษัทยังจัดโครงการพี่เลี้ยง (Mentorship) เพื่อค้นหาความสามารถของพนง.และพัฒนาพนง.อย่างใกล้ชิดและยังส่งพนง.ไปดูงานต่างประเทศเมื่อมีโอกาสเหมาะๆ ส่วนในเรื่องของการฝึกอบรมทั่วไปก็มีหัวข้อหลากหลายน่าสนใจที่จำเป็นต่องานหมุนเวียนมาให้พนง.ได้เลือกเข้าอบรมกัน เช่น การพูดในที่ประชุม การสร้างสัมพันธภาพกับลูกค้า เป็นต้น

5. บริษัท Chili’s บริษัทนี้ถือเป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับองค์กรอื่นๆที่กล่าวมาแล้ว Chili’s เป็นบริษัทขายอาหารฟาสต์ฟู้ดเมนูเม็กซิกันที่ก่อตั้งมา 41 ปี แล้วมีสาขาทั่วโลก และในเรื่องของการเป็นองค์กรที่น่าทำงานด้วยได้รับการยกย่องเป็นอันดับที่ 11 ของนิตยสารฟอร์จูน รองจากบริษัทอื่นๆ 4 บริษัทที่นำเสนอมาแล้วที่ติด 10 อันดับแรก อย่างไรก็ตามการที่ Chili’s อยู่อันดับที่ 11 ก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไร จุดเด่นมากๆของ Chili’s คือโปรแกรมการฝึกอบรมและพัฒนาพนง.ที่มีให้พนง.ประจำแต่ละคนถึงปีละ400 ชม .ซึ่งโปรแกรมมีหลากหลายมาก มีแบบจัดในชั้นเรียน มีแบบติวตัวต่อกับผู้เชี่ยวชาญเพื่อวางแผนพัฒนาบุคคล อีกทั้งองค์กรยังอนุญาตให้ใช้เวลาทำงานไปฝึกอบรมได้ และหลักสูตรฝึกอบรมจำนวน 11 หลักสูตรขององค์กรยังได้รับการรับรองมาตรฐานจากสถาบันรับรองมาตรฐานการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยของสหรัฐอเมริกาว่ามีคุณภาพพอที่จะนับหน่วยกิตรวมกับวิชาอื่นๆที่เรียนในระดับอนุปริญญาและปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยอื่นๆได้ด้วย ด้วยมาตรฐานการฝึกอบรมที่ดีขนาดนี้ทำให้ Chili’s มาแรงเรื่องการพัฒนา Gen Y ให้เป็นผู้นำไม่น้อยหน้าใคร

นี่คือ 5 ตัวอย่างองค์กรที่สามารถบริหารจูงใจและพัฒนา Gen Y ได้ดีมากๆมีผลลัพธ์เห็นประจักษ์ ซึ่งท่านสามารถเลือกนำกลยุทธ์ต่างๆที่พวกเขาใช้นำมาปฏิบัติในองค์กรของท่านได้ที่สำคัญที่สุดคือขอให้ตั้งใจจริง ทำงานเชิงรุกในการบริหาร Gen Y อย่ารอจนพวกเขาบ่นหรือลาออกไปแล้ว ตอนนั้นมันก็จะสายไป เพราะ Gen Y เขาใจร้อนค่ะ