ความฝันสู่มหาวิทยาลัยระดับโลก: วิธีคิดแบบอาณานิคมใหม่

ความฝันสู่มหาวิทยาลัยระดับโลก: วิธีคิดแบบอาณานิคมใหม่

ดูเหมือนว่าความใฝ่ฝันของบรรดา “ผู้ปกครอง” ในมหาวิทยาลัยใหญ่ๆ ของสังคมไทยยังคงฝังแน่นอยู่กับการ

ไต่เต้าไปสู่ “มหาวิทยาลัยระดับโลก” (World Class University) ดังจะเห็นได้จากความพยายามจะให้มีนักศึกษาต่างชาติมากๆ มีการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษมีผลงานตีพิมพ์ในวารสารระดับโลก

หากไม่ไตร่ตรองกันให้ดีความใฝ่ฝันนี้กลับจะเป็นตัวทำลายปัญญาของสังคมไป

คำถามง่ายๆ ที่ว่ามหาวิทยาลัยควรมีหน้าที่อย่างไรต่อสังคมไทยกลับเป็นเรื่องที่บรรดา “ผู้ปกครอง” มหาวิทยาลัยไม่สนใจและไม่ปรารถนาที่จะตอบ

นักคิดฝรั่งคนหนึ่งเคยเขียนบทความทำนองว่าให้เลิกฝันกันเสียทีเถอะ เพราะหากลำดับของมหาวิทยาลัยขยับดีขึ้นกว่าเดิมเช่นจากอันดับที่ 400 ขึ้นมาเป็นสามร้อยก็ไม่ได้มีความหมายอะไรเพิ่มขึ้นเลย

หากต้องการการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษก็ต้องลงทุนสร้างระบบการศึกษาที่ใช้ภาษาอังกฤษอย่างเข้มข้นมาตั้งแต่ต้น แล้วท้ายที่สุดการใช้ภาษาไทยก็จะต่ำเตี้ยเหมือนเดิมอย่ามักง่ายคิดแค่ว่า ภาษาเป็นแค่ภาษานะครับภาษาคือระบบของการเรียนรู้วัฒนธรรมที่สำคัญมากหากภาษาแม่ไม่แตกฉานก็อย่าไปหวังภาษาอื่นเลย

การพิมพ์ผลงานในวารสารระดับโลกได้นั้นก็ต้องเป็นการตอบปัญหาที่เฉพาะส่วนนำของโลกให้ความสนใจคงหายากมาก ที่จะเขียนอะไรแล้วได้พิมพ์ในวารสาร science หรือ Nature หากคิดเฉพาะตรงนี้ก็หมายความมหาวิทยาลัยไม่ได้สนใจจะตอบปัญหาของสังคมไทยหากแต่พยายามจะตอบแก่ความสนใจของคนส่วนนำจำนวนน้อยในโลกตะวันตกเท่านั้น

มหาวิทยาลัยในภูมิภาคแห่งหนึ่งถึงขนาดสร้างนโยบายจ้างใครก็ได้ที่ไม่จำเป็นต้องสังกัดมหาวิทยาลัยนั้นๆ แต่ให้เขียนบทความในนามมหาวิทยาลัยเพื่อที่หวังจะไต่อันดับมหาวิทยาลัยโลกเท่านั้น โดยไม่ได้ให้ความสำคัญแก่การสร้างความรู้เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่มหาวิทยาลัยและสังคมไทยเลย

เอาล่ะครับสมมติว่าเราอยากจะก้าวขึ้นไปสักอันดับที่ร้อยหรือร้อยกว่าๆ คำถามก็คือสังคมไทยพร้อมไหมที่จะทุ่มทรัพยากรจำนวนมากให้แก่การจ้างอาจารย์ดังๆ จากตะวันตกมาสอนและวิจัยพร้อมทั้งลดเวลาการสอนลงเพื่อให้อาจารย์กลุ่มนี้ไปบรรยายตามที่ต่างๆ แบบที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ที่ทำมานานแล้ว

เราไม่พร้อมหรอกครับ สังคมไทยไม่ได้รวยแบบนั้นและไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องทำแบบนั้นอย่าลืมนะครับ สิงคโปร์จำเป็นต้องทำเพราะบ้านเมืองของเขาเล็กมากหากไม่สร้างแรงดึงดูดทางด้านการศึกษาก็คงลำบาก และคนสิงคโปร์เองจำนวนมากก็บ่นว่านี่มันมหาวิทยาลัยของชาติไหนแน่เพราะครูบาอาจารย์จำนวนมากไม่ใช่คนสิงคโปร์

ที่สำคัญทำไมเราต้องไปคิดและเดินตามเขาไปเชื่องๆ แบบนี้เพราะนี่คือลัทธิอาณานิคมแบบใหม่ที่ครอบงำปัญญาของสถาบันในสังคมโลกที่สาม การทำให้ปัญญาของสังคมตกอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่มหาอำนาจวางเอาไว้เพื่อล่อให้เราไต่บันไดตามไปทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าไต่ไปอย่างไรก็ไม่ทันและเมื่อสามารถครองอำนาจทางปัญญาเหนือได้ก็ย่อมส่งผลให้ดูดซับส่วนเกินทางเศรษฐกิจได้มากขึ้นไปอีก

และนี่คือ Colonial Mentality ที่ถูกสร้างและฝังไว้ในหัวของ “ผู้ปกครอง” มหาวิทยาลัย (ในนามของทุนนิยมเสรีนิยมใหม่)

หาก ผู้ปกครองมหาวิทยาลัยเข้าใจและปรารถนาจะสลัดหลุดจากการตกอยู่ภายใต้ระบบอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดแบบใต้อาณานิคม ก็ต้องหันมาทำความเข้าใจกันใหม่ว่า “ความเป็นอินเตอร์/ความเป็นสากล” ไม่ได้หมายความจะต้องไต่บันไดอาณานิคมอย่างที่ทำกันอยู่

มหาวิทยาลัยไทยต้องสร้างความรู้ของสังคมเราหรือสังคมเพื่อนบ้านให้เข้มแข็ง จนกระทั่งคนในมหาวิทยาลัยตะวันตกหากจะศึกษาเรื่องนี้แล้วต้องมาที่เมืองไทยเท่านั้น เช่นหากใครจะศึกษาเรื่องการเมืองไทยก็ต้องมาที่ประเทศไทยไม่ใช่ไปที่เรียนเรื่องการเมืองไทยที่อเมริกาหรืออังกฤษ และต้องศึกษาด้วยภาษาไทย

นี่คือ “ความเป็นอินเตอร์/ความเป็นสากล” ที่ควรจะต้องคิดและสร้างกัน

อาจารย์ที่สนิทสนมกับอาจารย์เบนเนดิก แอนเดอร์สัน ผู้เชี่ยวชาญเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เคยเล่าให้ฟังว่า อาจารย์เบนพูดทำนองว่านักศึกษาปริญญาเอกที่มาจากประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ควรเขียนวิทยานิพนธ์เป็นภาษาของประเทศตน ที่สำคัญทุกประเทศในโลกล้วนแล้วแต่ต้องการการเขียนประวัติศาสตร์ “ชาติ” ของเขาด้วยภาษาประจำชาติ

กระบวนการที่ทำให้ความรู้ที่ถูกสร้างโดยคนในมหาวิทยาลัยไทยกลายเป็นที่ต้องการของนักศึกษาทั่วโลก จึงเป็นเรื่องของการสร้าง “ความเป็นอินเตอร์” ที่สำคัญกว่าการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษด้วยความรู้ที่คัดลอกหรือจำมาจากฝรั่ง หรือการไปมุ่งเน้นเขียนวิทยานิพนธ์เป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น เราสร้าง “ความเป็นอินเตอร์ของเราได้ ตัวอย่างเช่นนักไทยศึกษาต่างชาติเกือบทั้งหมดล้วนแต่ต้องรู้ และเข้าใจภาษาไทยหากไม่อย่างนั้นก็ไม่ควรจะเป็นนักไทยศึกษา

ลองคิดถึงมหาวิทยาลัยญี่ปุ่นหลังสงครามซิครับ การพัฒนาความรู้ด้วยภาษาญี่ปุ่นได้ทำให้ความรู้ในญี่ปุ่นกลายเป็น “อินเตอร์” จนหากนักศึกษาต้องการเรียนต่อที่ญี่ปุ่นก็จำเป็นที่จะต้องรู้ภาษาญี่ปุ่น

การเขียนแบบนี้ไม่ใช่ “ชาตินิยมนะครับ หากแต่กำลังรู้สึกว่ากลุ่มที่อยู่ใต้ความคิด อาณานิคมใหม่กำลังทำร้ายสังคมไทยอยู่ครับ