อ่านโปลานยีในศตวรรษที่ 21

อ่านโปลานยีในศตวรรษที่ 21

เมื่อไม่นานมานี้ผู้เขียนได้มีโอกาสอ่านงานชิ้นสำคัญของนักเศรษฐศาสตร์การเมืองชาวฮังการี คาร์ล โปลานยี

ที่ชื่อว่า “The Great Transformation” ในภาคภาษาไทยแปลโดย ภัควดี วีระภาสพงษ์ โดยใช้ชื่อว่า เมื่อโลกพลิกผัน” ทำให้ต้องกลับมาคิดถึงแนวคิดที่โปลานยีให้อรรถาธิบายเอาไว้ตั้งแต่ปี 1944 ถึงการก่อตัวขึ้นของความเชื่อในกลไกการทำงานของสังคมตลาดหรือตลาดเสรีภายหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม ที่ก่อตัวมาพร้อมๆ กับแนวคิดของสำนักคลาสสิก และถูกทำให้มั่นคงขึ้นโดยแนวคิดของมัลธัส และริคาร์โด

จวบจนปัจจุบัน ความสัมพันธ์ของตลาดกับสังคมยังเป็นสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์ยังแสวงหาความเห็นพ้องต้องกันไม่ได้ แม้ว่านักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล อย่าง Joseph Stiglitz จะกล่าวไว้อย่างมั่นใจในคำนำของฉบับที่ตีพิมพ์เมื่อปี 2001 ว่า นับเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คงไม่มีใครเชื่อแล้วว่าการทำงานของตลาดเสรีนั้นสามารถดำเนินไปได้อย่างเสรีโดยปราศจากการแทรกแซงดังที่เคยเชื่อกัน และแม้ว่า Fred Block ได้ย้ำไว้ในบทนำของฉบับเดียวกันว่า ผู้อ่านงานของโปลานยีมักจะเข้าใจผิดว่า เขาอธิบายว่าเพราะตลาดได้ถูกแยกขาดจากสังคมและมีอิทธิพลเหนือสังคม จึงทำให้เกิดหายนะต่อชีวิตของผู้คนและสังคม ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่โปลานยีต้องการจะสื่อคือ ความเชื่อที่ว่าตลาดสามารถแยกขาดออกจากสังคมนั้นเป็นไม่เป็นจริง แต่เป็นมายาคติที่ถูกผลิตขึ้นจากนักเศรษฐศาสตร์ ตลาดไม่เคยและไม่สามารถถูกแยกขาดออกจากสังคม

เหตุผลก็คือ นับเนื่องจากอดีต การก่อตัวขึ้นของตลาดและการทำงานของอุปสงค์และอุปทานต้องอาศัยกลไกนานาประการทั้งของสังคมและรัฐ เมื่อกลไกของตลาดตั้งมั่นขึ้นพร้อมๆ กับความพยายามสร้างสินค้า 3 ประเภท ได้แก่ แรงงาน ที่ดิน และเงิน ซึ่งโดยรากเหง้าแล้วไม่สามารถลดทอนตัดตอนเป็นสินค้า ให้กลายเป็นสินค้าจำแลง สังคมก็ยังไม่ได้หดหายและลดบทบาทลง ในทางกลับกันสังคมกลับต้องทำงานมากขึ้นทั้งเพื่อทำให้ตลาดดำเนินไปและบรรเทาเบาบางผลกระทบของกลไกตลาด การทำงานดังกล่าวจึงมี 2 มิติที่ดำเนินควบคู่กันไป ในด้านหนึ่ง รัฐและสังคมต้องช่วยผลักดันให้การขยายตัวและการทำงานตลาดเสรีดำเนินไปได้อย่างราบรื่นจนเสมือนหนึ่งเป็นมือที่มองไม่เห็นที่ดำเนินไปได้ด้วยตัวเอง ในอีกด้าน รัฐและสังคมกลับเคลื่อนไหวในทิศทางที่ต่อต้านการครอบงำและขยายตัวของตลาดในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่การออกกฎหมายแรงงาน การตั้งกำแพงภาษี การใช้นโยบายแบบเคนส์ไล่เรียงไปจนถึงการก้าวขึ้นมามีบทบาทของพวกฟาสซิสม์

แรงดึงและดันดังกล่าวนอกจากสะท้อนให้เห็นว่าตลาดไม่เคยและไม่อาจแยกขาดจากสังคมแล้ว ในมิติของการต่อต้านการขยายตัวและครอบงำของตลาดยังแสดงให้เห็นถึง ทางแพร่งของทางเลือกระหว่างแนวทางอำนาจนิยมและสังคมนิยมประชาธิปไตย ถึงแม้ว่าในสภาพความเป็นจริง ระบบฟาสซิสม์ที่เกิดขึ้นในยุโรปก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือสังคมนิยมที่ดูเสมือนจะนำไปสู่ประชาธิปไตยในที่สุดแล้วต่างก็หักเหเข้าสู่อำนาจนิยม ที่จบลงด้วยการล่มสลายของค่ายสังคมนิยมและการสิ้นสุดลงของสงครามเย็น โดยฟื้นคืนชีพให้แนวคิดตลาดเสรีอีกครั้งในรูปแบบที่รู้จักกันว่า เสรีนิยมใหม่

การดำเนินนโยบายแบบเสรีนิยมใหม่เกิดขึ้นพร้อมๆ ไปกับกระบวนการโลกภิวัตน์ ทำให้แรงดึงของการขยายตัวและครอบงำของตลาดขยายขอบเขตมากขึ้น สินค้าจำแลงไม่เพียงแต่เกิดขึ้นในแรงงาน ที่ดิน และเงิน ดังที่โปลันยีเคยกล่าวไว้ แต่สินค้าและตลาดกลับขยายอาณาบริเวณก้าวล้ำเข้าไปในพื้นที่อื่นๆ ของสังคม เช่น ชั้นบรรยากาศ ความรู้ วัฒนธรรม อารมณ์ และจินตนาการ แรงดึงดังกล่าวส่งผลกระทบในทางลบต่อข่ายใยของผู้คนในสังคมและสิ่งแวดล้อมในทิศทางที่หนักหน่วงมากขึ้น หากใช้แนวคิดของโปลานยีมาอธิบาย ก็อาจจะกล่าวได้ว่า นี่เป็นคลื่นของการพลิกผันครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาตินับเนื่องตั้งแต่การพลิกผันครั้งสำคัญหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม

ผลกระทบของการพลิกผันผ่านแรงดึงของตลาดในปลายศตวรรษที่ 20 ผ่านการกวาดต้อนเอาทุกอย่างไปเป็นสินค้านี้เป็นไปอย่างรุนแรง จนนักภูมิศาสตร์มาร์กซิสม์อย่าง David Harvey อดจะพิจารณาไม่ได้ว่ากระบวนการดังกล่าวละม้ายคล้ายคลึงกับกระบวนการล้อมรั้วที่เกิดขึ้นมาในอดีตซึ่งยังไม่จบสิ้นลงผ่านกระบวนการสะสมทุนแบบฉกฉวยแย่งชิงซึ่งรัฐเข้าไปมีบทบาทสนับสนุนการขยายตัวของตลาด ภาพสะท้อนรูปธรรมของผลกระทบที่เกิดขึ้นก็คือ ความไม่เท่าเทียมกันที่ถ่างกว้างมากขึ้นและตัดข้ามเขตแดนทางภูมิศาสตร์ โดยฉีกผู้คนในโลกออกเป็น 2 กลุ่ม คือ ยอดปิรามิดของคน 1% ที่ได้รับการจัดสรรปันส่วนความมั่งคั่งในสัดส่วนที่มากกว่า และฐานปิรามิดของคน 99% ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่แต่ได้รับการจัดสรรปันส่วนความมั่งคั่งในสัดส่วนที่น้อยกว่า

แต่ผลกระทบจากการครอบงำของตลาดดังกล่าวไม่ได้ดำรงอยู่อย่างโดดๆ แรงดึงที่รุนแรงขึ้นส่งผลให้เกิดแรงดันกลับในทิศทางที่ต่อต้านต่อการครอบงำของตลาดไม่น้อยไปกว่ากัน ในยุคโลกาภิวัตน์พร้อมๆ ไปกับการเพิ่มขึ้นของบทบาทของบรรษัทข้ามชาติ มายาคติว่าด้วยกลไกตลาด ทำให้บทบาทของรัฐถดถอยลงเมื่อเทียบกับในอดีต ภาคประชาสังคมซึ่งเป็นเรี่ยวแรงสำคัญของสังคมกลับถูกยึดโยงเข้าด้วยกันมากยิ่งขึ้น แรงดันกลับดังกล่าวจึงสะท้อนออกมาในรูปแบบทางเลือกที่แตกต่างหลากหลายแต่มีความเชื่อมโยงกันมากขึ้น ไล่เรียงไปได้ตั้งแต่กลุ่มต่อต้านตลาดเสรี กลุ่มต่อต้านโลกาภิวัตน์ กลุ่มต่อต้านบรรษัทข้ามชาติ กลุ่มต่อต้านอารยธรรมตะวันตก อย่างไรก็ตาม แรงดันกลับที่มีต่อการครอบงำของตลาดในรูปแบบต่างๆ ดังกล่าวก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงทางแพร่งระหว่างแนวทางแบบอำนาจนิยมและสังคมนิยมประชาธิปไตยดังที่โปลานยีได้สะท้อนเอาไว้

กล่าวคือ มีเพียงแรงดันกลับบนรากฐานของประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมซึ่งสะท้อนถึงเสียงของผู้คนที่หลากหลายอย่างเท่าเทียมกันเท่านั้น จึงสามารถต่อกรกับแรงดึงจากการครอบงำของตลาด โดยทำให้มนุษย์และสังคมกลายเป็นทั้งเครื่องมือและเป้าหมายในตัวเอง

---------------------

กุลลินี มุทธากลิน

คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย