ใกล้ถึงเวลา ‘หุ่นยนต์เพื่อผู้สูงอายุ’

ใกล้ถึงเวลา ‘หุ่นยนต์เพื่อผู้สูงอายุ’

มีการพยากรณ์ว่ามูลค่าตลาดหุ่นยนต์เพื่อการดูแลผู้สูงอายุจะสูงถึงเกือบ 3,500 ล้านบาทในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เพียงแต่ตลาดส่วนใหญ่จะอยู่ในประเทศที่ร่ำรวย 

เกาหลีมีโครงการของรัฐในการจัดหาหุ่นยนต์เพื่อสนับสนุนการดูแลคนสูงอายุ ทำเป็น “หุ่นยนต์เด็กเล็ก” ที่คอยพูดคุยกับคนสูงอายุ ตั้งแต่ต้อนรับกลับบ้าน เตือนการรับประทานยาไปจนกระทั่งพูดคุยเรื่องต่าง ๆ หุ่นยนต์เลียนแบบเด็กนี้ยังช่วยแจ้งเตือนอาการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น เช่น การหกล้ม การเจ็บป่วยกะทันหัน ให้ญาติหรือผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้สูงอายุ 

หุ่นยนต์นี้มีรายงานการวิจัยยืนยันชัดเจนว่า ช่วยลดความเสี่ยงนานาประการ โดยเฉพาะความเสี่ยงเรื่องการฆ่าตัวตายจากความซึมเศร้า และยังช่วยให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพด้านสติปัญญาดีขึ้นหลังจากการใช้งานเพียง 6 สัปดาห์ ในขณะที่ญี่ปุ่นทำเป็น หุ่นยนต์เลียนแบบแมวน้ำ ที่เข้าใจคำพูดของมนุษย์ แต่ตอบสนองด้วยอาการต่างๆ แทนที่จะเป็นการพูดคุย เพื่อหลีกเลี่ยงความผูกพันที่เกินเลย

เช่นคิดว่าหุ่นยนต์เป็นลูกเป็นหลาน จนสร้างปัญหาด้านสุขภาพจิตขึ้นมาอีก หรือช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว จากการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวประหนึ่งว่ากำลังคุยอยู่กับลูกหลาน หุ่นยนต์แมวน้ำจากญี่ปุ่นใช้งานกระจายไปกว่า 30 ประเทศ โดยเฉพาะในเดนมาร์กได้ใช้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการระดับชาติเพื่อการดูแลผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อม ในสหรัฐอเมริกา หุ่นยนต์นี้ได้รับการรับรองจาก FDA ว่าเป็นเครื่องมือในการรักษาโรค 

หุ่นยนต์เพื่อคนสูงอายุ ไม่ได้เพิ่งมีขึ้น เพียงแต่ AI ทำให้มีความก้าวหน้าขึ้นมากมายในไม่กี่ปีมานี้  หุ่นยนต์แบบนี้ราคาหลายแสนบาทจึงยากที่จะมีการใช้งานอย่างกว้างขวางในประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่ยังมีรายได้น้อยอย่างบ้านเรา

คำถามชวนคิดคือ ทำอย่างไร จึงจะได้ประโยชน์จากหุ่นยนต์ดูแลคนสูงอายุในยามที่เรามีแรงงานหนุ่มสาวลดลง จนแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีคนเพียงพอสำหรับการดูแลคนสูงอายุในภาวะที่ประเทศกลายเป็นสังคมสูงวัยระดับสุดยอด (Super-Aged Society) ในอนาคตอันใกล้

แม้การดูแลผู้สูงอายุอาศัยโครงสร้างครอบครัวเป็นหลัก แต่ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมในไทย เช่น การย้ายถิ่นมาทำงานของคนวัยแรงงาน การมีบุตรน้อยลง และจำนวนผู้สูงอายุที่อาศัยลำพังมากขึ้น ทำให้การดูแลรูปแบบเดิมเริ่มไม่เพียงพอ หุ่นยนต์จึงมีศักยภาพในการช่วยเสริม แต่ไม่ใช่แทนที่มนุษย์ 

การใช้หุ่นยนต์ในประเทศกำลังพัฒนายังมีข้อจำกัดสำคัญหลายประการ ราคาที่แพงเกินกว่าแต่ละครอบครัวจะซื้อมาใช้งานได้ มีเงินซื้อมาได้ก็อาจติดปัญหาทางเทคนิคทั้งเรื่องความเสถียรของอินเทอร์เน็ต ไปจนกระทั่งการซ่อมบำรุง

หรืออาจรวมถึงความตระหนักรู้ในเรื่องการใช้ประโยชน์หุ่นยนต์ดูแลผู้สูงอายุ ของครอบครัวส่วนใหญ่ จากการอ่อนด้อยทักษะดิจิทัลใหม่ ๆ อาจมีบางครอบครัวที่มีเงินทองพอที่จะซื้อหามาใช้งานได้ แต่ถึงมีแล้วก็ยังใช้งานไม่เป็น หรือใช้ไม่ได้เพราะอินเทอร์เน็ตไม่ดีพอ

การใช้หุ่นยนต์ดูแลผู้สูงอายุในประเทศกำลังพัฒนาไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน แต่ต้องอาศัยการบูรณาการที่เหมาะสมกับข้อจำกัดด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และวัฒนธรรม อาจจำเป็นต้องมีพัฒนา “หุ่นยนต์ราคาประหยัด” ที่ผลิตในประเทศ ที่มีการออกแบบให้ทำงานเฉพาะฟังก์ชันที่จำเป็น เช่น การเตือนเรื่องยา การสนทนาเบื้องต้น หรือการตรวจจับการล้ม เพื่อช่วยลดต้นทุนลงเมื่อเทียบกับหุ่นยนต์ขั้นสูงในต่างประเทศ 

การส่งเสริมการร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัย บริษัทสตาร์ตอัปและภาครัฐ เพื่อให้เกิดกิจการนี้ขึ้นในประเทศ หรือการสนับสนุนให้ศูนย์ผู้สูงอายุชุมชนหรือโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลมีหุ่นยนต์ประจำ เพื่อใช้ดูแลผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยที่ต้องการฟื้นฟูสมอง แทนการให้แต่ละครัวเรือนซื้อเอง

หากสามารถพัฒนาเทคโนโลยีหุ่นยนต์ราคาประหยัด และบูรณาการเข้ากับระบบสาธารณสุขชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ หุ่นยนต์เหล่านี้อาจจะกลายเป็นผู้ช่วยสำคัญในการดูแลผู้สูงอายุ ช่วยลดภาระของครอบครัวและระบบสุขภาพ และทำให้ผู้สูงวัยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในยุคสังคมสูงวัยระดับสุดยอดที่กำลังมาถึงในอนาคตอันใกล้

เราอาจต้องสละเวลาแก้ไขปัญหาซ้ำซากดั้งเดิมบางส่วน มาใช้เตรียมความพร้อมสำหรับรับมือปัญหาสำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้นกันบ้าง แทนที่จะรอให้กลายเป็นปัญหาซ้ำซากใหม่ในอนาคต