เรื่องน่าอับอายระดับชาติ ที่สนามบินดอนเมือง

การท่องเที่ยวกำลังเป็นช่องทางรายได้หลักที่มาจุนเจือประเทศไทย แต่ถ้านักท่องเที่ยวพบว่าทุกเที่ยวบินที่มาลงสนามบิน
ดอนเมือง จะล่าช้า 30-45 นาที เราคิดว่าพวกเขาจะคิดอย่างไร เพียงแต่ที่สนามบินดอนเมืองอาจไม่ได้ล่าช้าที่เที่ยวบิน แต่ล่าช้าที่ต้องรอรถแท็กซี่ 30 นาทีขึ้นไปต่างหาก เสียเวลาเหมือนกันแต่มันแย่กว่าตรงที่เที่ยวบินล่าช้ายังนั่งๆ นอนๆ รอในห้องโดยสารได้ แต่การรอคิวแท็กซี่ เขาต้องเข้าแถวยืนรอ ทั้งที่เหนื่อยอ่อนกับการเดินทางและการท่องเที่ยวในรูปแบบต่างๆมาแล้ว ทุกคนอยากไปให้ถึงที่พักให้เร็วที่สุด แต่ดูเหมือนพวกเขาจะถูกมัดมือชก ไม่มีทางให้เลือกมากนัก นอกจากยืนรอ และรอต่อไป
เรื่องแบบนี้ รัฐมนตรีการท่องเที่ยวหรือผู้อำนวยการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย คงไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร หรืออาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาเป็นปีๆ แล้ว เวลาพวกเขาเดินทาง พอลงจากเครื่องบินก็มีเจ้าหน้าที่เดินนำขบวนผ่านช่องทางพิเศษ พอมาถึงหน้าประตูทางออกก็มีรถยนต์ส่วนตัวเปิดประตูรับออกจากสนามบินในทันที
ความจริงเรื่องนี้ต้องถือเป็นความ(ไม่)ประทับใจแรกพบ เราคิดว่าถ้าเราเอาพวงมาลัยมะลิไปคล้องคอต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศ จากนั้นให้พวกเขามายืนรอรถแท็กซี่อีก 30-45 นาที เราคิดว่าความประทับใจจากพวงมาลัยมะลิจะยังหลงเหลืออยู่อีกไหม
เป็นเรื่องน่าแปลกในขณะที่นักท่องเที่ยวนับร้อยคนยืนรอรถแท็กซี่ในห้องโถง แต่ในเวลาเดียวกันรถแท็กซี่นับร้อยคันในลานจอดก็ใจจดใจจ่ออยากจะออกไปรับผู้โดยสาร แต่ไม่ถึงคิวสักที แทนที่การท่าอากาศยานจะรีบปรับปรุงระบบเพื่อให้รถแท็กซี่มารับผู้โดยสารได้เร็วขึ้น กลับนำเอาความล้มเหลวของตนมาเป็นข้ออ้างในการขึ้นค่าเซอร์ชาร์จ (ค่าธรรมเนียมเรียกรถแท็กซี่) จาก 50 บาท เป็น 75 บาท
สาเหตุของปัญหาความล่าช้า น่าจะมาจากการที่เจ้าหน้าที่การท่าอากาศยานต้องสอบถามสถานที่ปลายทางของผู้โดยสารทุกคน และเขียนลงไปในบัตรต้นขั้ว (บัตรฉีก 2 ส่วน) เพื่อยื่นให้ผู้โดยสารและคนขับแท็กซี่เก็บไว้เป็นหลักฐาน เมื่อสอบถามว่าทำไมต้องเสียเวลาทำเช่นนั้น ได้รับคำตอบว่า เพื่อแก้ปัญหาการหลงลืมสิ่งของไว้บนรถ จะได้ติดตามได้ฟังดู น่าจะมีเจตนาดี แต่การที่ต้องเสียเวลาสอบถามและเขียนให้ทุกคน แม้จะกินเวลาเพียง 15 วินาทีต่อคน แต่การที่มีผู้โดยสารหลั่งไหลเข้ามาวันละนับแสนคน เมื่อทบเวลาเข้ามา ก็ทำให้เสียเวลา 30-45 นาทีสำหรับผู้โดยสารส่วนใหญ่
ตามปกติเวลาเรียกแท็กซี่ตามท้องถนน เราในฐานะผู้โดยสารมีหน้าที่ต้องระมัดระวังไม่ให้ลืมสิ่งของตอนลงจากรถอยู่แล้ว แต่เอาล่ะ เราอาจจะกังวลว่า เผื่อมีชาวต่างชาติลืมสัมภาระไว้จะเป็นปัญหา ผู้เขียนเชื่อว่าระบบที่การท่าอากาศยานเคยวางไว้น่าจะเพียงพอแล้ว คือมีการคัดกรองและลงทะเบียนคนขับแท็กซี่ที่มีประวัติดี เมื่อเข้าลานจอดมีการสแกนบัตรประจำตัวคนขับ
เมื่อออกจากลานจอดจะสแกนบัตรอีกครั้ง พร้อมรับบัตรต้นขั้วที่มีการลงเวลา เลขทะเบียนรถ ชื่อคนขับและหมายเลขคิว เมื่อขับมารับผู้โดยสารตามคิวจะมีผู้โดยสารยืนรออยู่แล้วตามลำดับคิวของผู้โดยสารเช่นกัน ไม่สามารถเลือกผู้โดยสารได้ มีกล้องวงจรปิดบันทึกภาพผู้โดยสารและคนขับทุกคน ณ จุดรับผู้โดยสาร จากนั้นคนขับจะฉีกบัตรต้นขั้วให้ผู้โดยสารเก็บไว้ หากมีของหลงลืมก็นำมาใช้อ้างอิงติดตามรถคันดังกล่าวได้ ขอเพียงแต่ให้มั่นใจว่า การท่าอากาศยานได้เตรียมจุดรับผู้โดยสารให้มากพอ มีเจ้าหน้าที่จัดผู้โดยสารเข้าประจำจุดรับที่มากพอ และระบบการสแกนบัตร บัตรต้นขั้ว หรือภาพวงจรปิดใช้การได้ตลอดเวลา
ดูเหมือนว่า การท่าอากาศยานได้เคยใช้ระบบให้คนขับแท็กซี่ฉีกบัตรต้นขั้วให้ผู้โดยสารโดยไม่ต้องลงบันทึกว่าปลายทางจะอยู่ที่ใดมาสักระยะเวลาหนึ่งแล้ว ปรากฏว่า เวลาในการรอรถแท็กซี่ลดลงจาก 30 นาทีเหลือ 5-10 นาที แต่ต่อมาก็กลับมาใช้ระบบบันทึกปลายทางเหมือนเดิม ทำให้กลับมาล่าช้าเช่นเคย หากเป็นเพราะมีผู้โดยสารลืมของไว้ในรถอีก ผู้เขียนคิดว่า ไม่ควรนำผู้โดยสารที่สะเพร่า 4-5 คน มาทำให้คนนับแสนนับล้านคนต้องได้รับผลกระทบไปด้วย
อีกทั้งถ้าเราวางระบบไว้ดีก็สามารถมีวิธีสืบค้นว่า ผู้โดยสารคนนั้นลืมของไว้ในรถคันใดและมีใครเป็นคนขับ ส่วนในกรณีที่ต้องการอำนวยความสะดวกเรื่องการแปลภาษาสำหรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ก็อาจจัดโต๊ะบริการต่างหาก หรือแยกแถวออกไป จะได้ไม่ทำให้คนทั้งหมดได้รับผลกระทบไปด้วย
ปีที่ผ่านมามีนักเดินทางมากมายมหาศาลเดินทางมาเที่ยวประเทศไทย พวกเขาเดินทางมาเพราะความสวยงามของธรรมชาติที่เป็นสมบัติของคนไทย ชอบใจนิสัยคนไทย การท่าอากาศยานสามารถกอบโกย ทำกำไรได้สูงเป็นประวัติการณ์จากนักเดินทางเหล่านี้ แต่ความฝังใจเกี่ยวกับการรอรถแท็กซี่ที่สนามบินดอนเมือง กลับทิ้งภาพลบให้กับประเทศไทยและคนไทย ดูเหมือนมันไม่ยุติธรรมเลย
เมื่อการท่าอากาศยานได้คิดรวมค่าใช้สนามบินไว้ในราคาบัตรค่าโดยสารแล้ว ต้องมีหน้าที่ในการจัดหารถยนต์สาธารณะที่เพียงพอมาอำนวยความสะดวกให้ผู้โดยสาร มิใช่นำความบกพร่องของตนมาเพิ่มภาระให้ผู้โดยสาร หากยังมีความจำเป็นต้องชดเชยค่าเสียเวลาให้กับคนขับรถแท็กซี่เพิ่มขึ้น ก็ควรจัดสรรจากกำไรของการท่าอากาศยาน ไม่ใช่จากผู้โดยสาร
อีกแนวทางหนึ่งในการแก้ปัญหานี้ คือการเปิดเสรี เปิดทางเลือกให้กับผู้โดยสารสามารถเลือกใช้บริการรถแท็กซี่ที่เป็นสาธารณะจริงๆ ผมคิดว่าคนไทยไม่น้อยที่อึดอัดกับการใช้บริการของแท็กซี่ที่การท่าอากาศยานจัดให้ แต่ไม่มีทางเลือก เท่าที่ทราบ การท่าอากาศยานจะกีดกันไม่ให้รถแท็กซี่ที่ไม่ได้ลงทะเบียนไว้กับการท่าอากาศยานให้มารับผู้โดยสาร มิหนำซ้ำทางเดินที่จะข้ามไปริมถนนวิภาวดีรังสิต ก็ถูกปิดกั้น ทำให้ซับซ้อนจนคนเดินไปไม่ถูก บางคนอุตส่าห์เดินข้ามไปขึ้นรถที่โรงแรมอมารีที่ฝั่งตรงข้ามเพราะไม่อยากรอรถ แต่กลับเจอแท็กซี่ส่วนบุคคลโก่งมิเตอร์ จอดรออยู่ในมุมมืด กลายเป็นหนีเสือปะจระเข้
การท่าอากาศยานต้องเลิกอ้างความปลอดภัยของผู้โดยสารเพื่อมาผูกขาดหรือจำกัดการพัฒนาของตนเอง เรื่องนี้เป็นหน้าตาของบ้านเมือง
หากการท่าอากาศยานแก้ปัญหาไม่ได้ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต้องเข้ามาลงมือ และถ้าหาก คสช.แก้ปัญหาเรื่องนี้ได้อีกเรื่องหนึ่ง ผมเชื่อว่า ท่านจะได้ใจของคนไทยไปอีกนับล้านคนครับ
---------------------------
บรรยง วิทยวีรศักดิ์







