ได้เวลาฟื้นโปรดักส์แชมเปี้ยน ยกระดับประเทศไทย

ยุทธศาสตร์ประชารัฐ ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง ภาครัฐและเอกชน
โดยวางบทบาท “ภาคเอกชน” เป็นกลจักรสำคัญ โดยดึงบรรดาเจ้าสัว คณะซีอีโอ ระดับแนวหน้าจากหลากหลายอุตสาหกรรม เป็นแกนนำอยู่ใน คณะกรรมการภาครัฐและเอกชน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ (Public - Private Steering Committee) ประกอบด้วยคณะทำงานย่อย 12 ชุด ด้วยความคาดหวังพลิกฟื้นเศรษฐกิจและขับเคลื่อนประเทศไทยกลับสู่ “ขาขึ้น” กลับมาฉายความโดดเด่นในอาเซียนและเวทีโลกได้เร็ววัน
โจทย์ที่หัวหน้าคณะทำงานได้รับคือ ต้องนำเสนอมาตรการที่เป็น quick-win สามารถเห็นผลรวดเร็วภายใน 6-12 เดือน เพราะหากเปรียบประเทศชาติเป็นเสมือนองค์กรธุรกิจ “ไทย” อยู่ท่ามกลางวงล้อมของ “คู่แข่ง” ในอาเซียนที่ล้วนมาแรงด้วยกันทั้งสิ้น แม้ไทยจะมีความได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์ศูนย์กลางของภูมิภาค ติดอันดับ 1 ใน 5 ตลาดน่าลงทุนในสายตาอาเซียน แต่ไทยยังมีจุดอ่อนที่ไม่สามารถละเลยได้ ทั้งภาคการผลิตบางด้านที่ยังมีประสิทธิภาพต่ำ คุณภาพการศึกษา ทักษะภาษา การกระจุกตัวของพื้นที่อุตสาหกรรม ค่าแรงที่ปรับสูงขึ้นเทียบประเทศเพื่อนบ้าน
หากพิจารณาจุดแข็งของประเทศไทยที่สำคัญมีหลายด้านเช่นกัน โดยเฉพาะเวลานี้มีการใช้จ่ายของภาครัฐในการขับเคลื่อนโครงการลงทุนขนาดใหญ่ โครงข่ายคมนาคม การสื่อสาร การขยายตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ทักษะฝีมือ ขาดไม่ได้ คือ วัฒนธรรม ประเพณี ของไทย ที่มีความเป็นเอกลักษณ์ คือ จุดแข็ง ที่รอเวลา “ต่อยอด”
ได้มีโอกาสรับฟังแนวคิดของภาคเอกชนกลุ่มบริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ผู้บริหารสยามเซ็นเตอร์ และสยามพารากอน โดย ชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เป็นหนึ่งในคณะทำงานด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยว และส่งเสริมอุตสาหกรรมการประชุมและจัดนิทรรศการ (MICE) ที่มี กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาเป็นประธาน และ ชนินทธ์ โทณวณิก รองประธานกรรมการและประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) เป็นหัวหน้าคณะทำงาน โดยมี กลินท์ สารสิน รองประธานกรรมการหอการค้าไทยและผู้แทนจากธุรกิจท่องเที่ยวและภาคเอกชนอื่นๆ ร่วมอยู่ด้วย
คณะทำงานชุดนี้ วางกรอบการทำงานภายใต้ 9 มาตรการ โดย 1 ใน 9 มาตรการ คือ การสร้างเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่เกี่ยวกับทุกจังหวัดในประเทศไทย เบื้องต้นวางโจทย์ว่า "ทำอย่างไรจึงจะดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ไปเยี่ยมชมได้ทุกจังหวัดให้มากที่สุด” ในกระบวนการทำงานจะให้แต่ละจังหวัดเสนอ “โปรดักส์แชมเปี้ยน” ที่เป็นจุดเด่นของท้องถิ่นไม่ว่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยว อาหาร โรงแรม ที่พัก สินค้า ของที่ระลึก รวมถึงขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ภูมิปัญญา และวิธีการดูแลนักท่องเที่ยว ซึ่งคณะทำงานจะทำการตรวจสอบและมีมาตรการในการกำหนดคุณภาพและความปลอดภัยในเรื่องต่างๆ เพื่อสร้างมาตรฐานของ ”โปรดักส์แชมเปี้ยน” ให้ดีที่สุด
แนวคิดในการนำเสนอคุณค่าของโปรดักส์แชมเปี้ยน เพราะทุกสิ่งในประเทศไทยมีเรื่องราวและที่มาที่ทรงคุณค่า ที่ควรจะถูกนำเสนอในความเป็นพรีเมี่ยม จะได้เป็นการยกระดับสถานที่ สินค้า และการให้บริการทั้งหมด ให้มีภาพลักษณ์ที่ดีมีคุณภาพ ผ่านการสร้าง “story” เริ่มด้วยการเก็บเรื่องราว ”โปรดักส์แชมเปี้ยน” จากความภาคภูมิใจของท้องถิ่นนั้นๆ เรียงร้อยออกมาเป็น ”story” ของแต่ละจังหวัดที่สร้างจุดเด่นให้แตกต่างกันที่จะใช้วิธีการนำเสนอให้ทันสมัย อ่านแล้วเข้าใจง่าย ตื่นเต้นและน่าสนใจ โดยรวมทั้งประเทศแล้วสามารถมีเป็น“ล้านเรื่องราว” ครบทุกอรรถรส ที่จะเป็น “คอนเทนท์” ที่มีพลังของประเทศไทยที่มีความแตกต่างแต่ทรงคุณค่า ซึ่งชาติอื่นไม่มีเสมอเหมือน
จากนั้น จะนำคอนเทนท์เหล่านี้ไปอยู่บนช่องทาง “อีคอมเมิร์ซ” ที่กระทรวงท่องเที่ยวฯ ได้วางแผนไว้ว่าจะสร้างขึ้น เพื่อสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพสู่นักท่องเที่ยวทั่วโลก ซึ่งวันนี้พฤติกรรมการเดินทางได้ปรับเปลี่ยนเน้นหาข้อมูลและเดินทางด้วยตัวเองมากขึ้น
การสร้างแบรนด์แชมเปี้ยนของประเทศไทย คือการนำเสนอความภาคภูมิใจของประเทศ โดยจะต้องมุ่งเน้นเรื่องภูมิปัญญาจากรุ่นสู่รุ่น ความโดดเด่นของงานประดิษฐ์ งานฝีมือต่างๆ ที่ละเอียดอ่อน คุณภาพการให้บริการที่เป็นเลิศ วัฒนธรรมและประเพณีที่อยู่เบื้องหลังกิจกรรมประจำจังหวัดต่างๆ เพื่อสะท้อนภาพลักษณ์ในการเป็นเมืองที่มีอารยธรรมอันทรงคุณค่า และต้องลบล้างภาพที่เคยเป็นสถานที่ท่องเที่ยวราคาถูกให้ได้
สิ่งเหล่านี้เมื่อลงสู่ภาคปฎิบัติต้องอาศัยการร่วมด้วยช่วยกันทุกภาคส่วน หากแนวคิดนี้สัมฤทธิ์ผลย่อมดีต่อคนไทยและประเทศไทยมากทีเดียว







