“Why Not” กับ “What If”

การเรียนการสอนวิชาบริหาร ไม่ว่าระดับ MBA หรือ นักบริหารระดับสูง ประเด็นหนึ่งซึ่งมีการกล่าวถึงเสมอ ก็คือเรื่องของ “ความเสี่ยง”
ไม่ว่าจะทำโครงการอะไร เราถูกสอนให้ตั้งคำถามว่า โครงการนั้นมีความเสี่ยง (Risks) อะไรบ้าง และจะลดผลกระทบจากความเสี่ยงลงได้อย่างไร (Risk Mitigation)ซึ่งนั่นก็เป็นวิธีคิดที่ดี และเป็นระบบอย่างยิ่ง
พูดสั้นๆก็คือ เราถูกสอนให้ตั้งคำถามว่า “What if....?”หรือ “ถ้าเกิดสิ่งนี้ขึ้น.....(แล้วเราจะทำอย่างไร)” เป็นคำถามที่ทำให้เราไม่ประมาท หรือมองโลกสวยแต่เพียงอย่างเดียว
เพราะคนที่คิดทำโครงการธุรกิจ หรือโครงการใดก็ตาม มักจะมีฝันอันสวยหรู แต่ในความเป็นจริง เรารู้กันอยู่ว่าโครงการที่ดูดีนั้น มีอยู่มากมาย ที่ประสบความล้มเหลว เพราะหลายสิ่งที่คิดไว้ ไม่ได้เป็นไปตามนั้น
ดอกเบี้ยสูงขึ้นอย่างรวดเร็วบ้าง เหล็กขาดตลาดบ้าง แบงก์ขาดสภาพคล่องบ้าง แรงงานขาดแคลนบ้าง ค่าเงินแข็งหรืออ่อน มากกว่าที่คิดบ้าง ระดมทุนไม่ได้ตามเป้าหมายบ้าง น้ำท่วมทั้งเมืองบ้าง ฯลฯล้วนแต่มีผลกระทบ จนโครงการไปไม่รอด
คำถามว่า “What if.....?” จึงมีประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะการคิดล่วงหน้าเช่นนี้ ทำให้มีการ “เผื่อ” ไว้บ้างว่า ไม่ใช่ทุกอย่างจะสวยหรูอย่างเดียว ถ้าไม่เป็นไปตามนั้น จะแก้ไขอย่างไร
แต่การคิดแบบนี้ ถ้าหากมากเกินไป ก็อาจทำให้ไม่กล้าตัดสินใจทำอะไรที่ท้าทาย เพราะเกิดความ “กลัว” ไปหมด เช่นคนบางคนอยากจะออกจากงาน เพื่อไปเริ่มงานใหม่ หรือ เริ่มงานสตาร์ทอัฟ พอคิด “What if....?” จิปาถะแล้ว ก็เกิดความกลัว จนไม่กล้าออกจากงานเดิม เพราะกลัวความล้มเหลวที่อาจเกิดขึ้น สู้รับเงินเดือนที่เดิมต่อไปดีกว่า เป็นต้น
ถ้าโลกนี้ มีแต่คนที่ถามว่า “What if” แล้วไม่กล้าทำอะไรเลย โลกก็คงไม่มีพัฒนาการและนวัตกรรม แต่ที่เรามีนวัตกรรมอย่างที่เห็น ก็เพราะมีอีกคำหนึ่ง....นั่นคือคำว่า “Why not?”
Why not? สอนให้คนคิดนอกกรอบ กล้าที่จะเสี่ยง กล้าที่จะล้มเหลว กล้าที่จะทดลองทำอะไรใหม่ๆ และหลายคนที่คิดเช่นนั้น ก็ได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า ถ้าหากไม่มีคนที่ถามว่า Why not? อย่าง บิล เกต สตีฟ จ็อบส์ หรือ มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก จะมีโลกออนไลน์ อย่างที่เห็นกันทุกวันนี้หรือครับ?และเราก็อยากเห็นคนไทยจำนวนมากๆ ที่ตั้งคำถามว่า Why not?ใช่ไหมครับ
อย่างไรก็ตาม คนประเภท Why not?ที่กล้าหาญคิดและฝันนอกกรอบ แต่ฝันก็ไม่เป็นจริงเพราะเข้าไปอย่างผลีผลาม ต้องบาดเจ็บล้มเหลว ก็มีจำนวนมาก ตัวอย่างในบ้านเราก็คือเมื่อ 20 ปีก่อน ซึ่งเศรษฐกิจดีมาก ใครต่อใครต่างกระโดดเข้าทำโครงการที่ตนเองไม่เคยถนัดมาก่อน รวมทั้งกู้หนี้ต่างประเทศกันมากมาย จนในที่สุดก็ล่มสลายไปตามๆกัน เพราะไม่มีใครถามเลยว่า “What if......”
ก็เมื่อทั้ง Why not และ What if ต่างเป็นคำถามที่มีประโยชน์ทั้งคู่ แต่อย่างหนึ่งบอกให้ฝัน ให้แหวกแนว อีกอย่างบอกว่า อย่าลืมนะ อะไรที่เลวร้ายย่อมเกิดขึ้นได้เสมอแล้วจะทำอย่างไรดี
ผมลองดูสุภาษิตไทย ก็พบว่ามีอะไรที่คล้ายจะขัดแย้งกันอยู่เหมือนกัน เช่นดาราคนหนึ่งให้สัมภาษณ์ว่า มีงานเยอะมาก ต้องยอมเหน็ดเหนื่อย นอนน้อย พักผ่อนน้อย แต่ก็ต้องรีบทำมาหากินในขณะที่มีโอกาส อย่างนี้คงเข้ากับสุภาษิตที่ว่า “น้ำขึ้น ให้รีบตัก”
แต่เราก็มีสุภาษิตว่า “ช้าๆ ได้พล้าเล่มงาม” ตกลงว่าเราควรจะ “รีบตัก” หรือ “รอพล้า” เล่มงามดี? นอกจากนั้น เรายังมี “ปากเป็นเอก เลขเป็นโท” แต่ขณะเดียวกันก็มี “พูดไป สองไพเบี้ย นิ่งเสีย ตำลึงทอง”ด้วย
ผมคิดว่าน้ำขึ้นให้รีบตัก ก็คือเมื่อโอกาสผ่านมา ควรรีบหยิบฉวยไว้ ส่วนช้าๆ ได้พล้าเล่มงามนั้น คงหมายถึงอย่าผลีผลาม จะทำอะไรคิดให้ดีก่อน คิดให้รอบคอบ ก็คงต้องใช้ร่วมกันแหละครับ เพราะถ้าโอกาสผ่านมา แล้วมัวแต่ช้าๆได้พล้าเล่มงาม เนิบนาบอยู่นั่นแหละ โอกาสก็อาจจะผ่านไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย
หรือถ้าใครสักคนที่เป็นคนเก่ง แต่นั่งในที่ประชุมแล้ว ไม่พูดอะไรเลย มัวแต่คิดว่า “พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสีย ตำลึงทอง” อย่างนี้ ความเก่งก็ไม่ปรากฏในความคิดของผู้คน อย่างแน่นอน
ผมจึงคิดว่า Why not กับ What if นั้น ความจริงแล้วไม่ได้ขัดกันเลย และควรนำมาใช้ด้วยกันอย่างยิ่ง คือเราควรจะเป็นคนที่กล้าถามว่า Why not? อย่างสม่ำเสมอ เพราะนั่นหมายถึง เราจะออกไปจากกรอบความคิดเดิมๆ และเข้าสู่ความฝันใหม่ๆ ซึ่งจะสร้างความสำเร็จให้แก่ตนเองและสังคม
แต่ถ้าเรามีเพียง Why not? อย่างเดียว และไม่ตามด้วย What if? นั่นก็หมายความว่า เราไม่ได้มองความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นเลย เป็นความประมาทที่นำไปสู่หายนะได้ ในความเห็นของผม จึงต้องเริ่มด้วย Why not? และตามด้วย What if? เสมอ....
ในระดับประเทศ ก็มีตัวอย่างเรื่องการร่างรัฐธรรมนูญเพื่อให้เกิดความเป็นประชาธิปไตย ที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ ผมเข้าใจว่ากระแสสังคม มีแนวโน้มไปในทางที่ว่า เราไม่จำเป็นต้องใช้รูปแบบของประชาธิปไตยตะวันตกเสมอไป เพราะเรามีวัฒนธรรม และข้อจำกัดต่างๆ ที่ไม่เหมือนเขา ดังนั้นการประยุกต์ให้เป็นประชาธิปไตยที่เหมาะกับภาวะของสังคมไทย จะเหมาะสมกว่า
คนที่คิดอย่างนี้ ก็คงเป็นความคิดแบบ Why not?นั่นแหละ คือทำไมจะต้องไปตามฝรั่งด้วยล่ะ ส่วนคนที่คัดค้านในบางประเด็น ก็อนุมานได้ว่า เป็นการถามติงแบบ What if?ดังนั้น ผมจึงฝากให้คนที่ร่างอยู่ในสภา เอาไปคิดต่อด้วยก็แล้วกัน ส่วนผมเป็นประชาชนธรรมดา คงได้แต่นั่งรอวันเลือกตั้ง และเตรียมตัวไปใช้สิทธิในวันนั้น
พูดถึง “วันเลือกตั้ง”.... หวังว่าจะไม่มีใครถามว่า “What if….?”นะครับ




