ความซับซ้อนจากเงื่อนไขการแข่งขัน (จบ)

หัวใจของโจทย์คำถามของการประมูลคลื่น 4G ในทั้งสองครั้งหลังที่จะวิเคราะห์ต่อไปนี้ ก็คือโจทย์คำถามที่ว่า
การประมูลคลื่นความถี่ซึ่งได้สร้างรายได้เข้ารัฐเป็นจำนวนมากนี้ ถือว่าเป็นรูปแบบการประมูลที่ก่อให้เกิดโครงสร้างตลาดของธุรกิจบริการประเภทนี้ที่เหมาะสม (optimal structure of the service market) หรือไม่ อย่างไร (บนเงื่อนไขที่ว่าธุรกิจประเภทนี้มีการแข่งขันน้อยรายโดยธรรมชาติอยู่แล้ว) ซึ่งคำตอบที่ได้นี้จะเกี่ยวข้องโดยตรงกับประเด็นคำถามที่ว่า รายได้ที่เข้าสู่รัฐที่สูงมากจากการประมูลครั้งนี้ จะคุ้มค่ากับสวัสดิการสังคม (social welfare) ของประเทศไทยที่ต้องสูญเสียไปเพื่อแลกกับรายได้จากการประมูลในครั้งนี้หรือไม่
ดังนั้น แม้ว่าการประมูลสองครั้งหลังที่ผ่านมา จะทำให้ (ก) รัฐได้เงินประมูลคิดเป็นมูลค่าที่สูง เพราะรูปแบบของการประมูลในสองครั้งหลังสุดนี้ มีวัตถุประสงค์ชัดเจนที่ต้องการให้ได้เงินประมูลที่สูงกว่าที่ผ่านมาในอดีต จึงได้แยกการประมูลออกเป็นสองครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการฮั้วประมูลกันระหว่างผู้เข้าร่วมการประมูลคลื่นซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 4 รายด้วยกัน เพราะได้กำหนดว่า ในการประมูลแต่ละครั้งนั้น จะมีจำนวนผู้เข้าประมูลที่มากกว่าจำนวนใบอนุญาตที่เปิดให้ประมูลกัน ทำให้ผู้ประมูลแต่ละรายจะต้องแข่งกันอย่างเต็มที่ เพื่อให้ตนเองเป็นฝ่ายชนะ
และ (ข) แม้ว่าจะได้ผู้ประกอบการรายใหม่เข้าสู่ตลาดนี้เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งรายคือ บริษัท แจส โมบาย บรอดแบรนด์ จำกัด เพราะว่าการประมูลในครั้งหลังสุดนี้ได้มีการปรับเงื่อนไขให้ยืดหยุ่นมากขึ้น สำหรับผู้ชนะการประมูลที่ไม่ต้องชำระเงินค่าประมูลทั้งหมดในเวลาที่จำกัดเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการรายใหม่ ที่จะสามารถเสนอวงเงินประมูลสูงสุดได้ โดยไม่ต้องมีภาระเรื่องการหาสถาบันการเงินมาค้ำประกันวงเงินกู้สูงสุดล่วงหน้า ในเวลาที่จำกัดก่อนการประมูล จึงเป็นที่คาดหวังว่าผู้ประกอบการรายใหม่นี้ จะกลายเป็นตัวแปรสำคัญที่ก่อให้เกิดการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในตลาดการให้บริการของธุรกิจนี้ก็ตาม
แต่เราก็ยังคงมีเหตุผลที่จะต้องสงสัยกันต่อไปว่า การแข่งขันที่อาจสูงขึ้นบ้างในธุรกิจนี้ เพราะมีผู้ประกอบการรายใหม่เพิ่มขึ้นหนึ่งรายนั้น อาจไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้สังคมโดยรวมได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำตัญจริงๆ ก็ได้ และเราจะมีวิธีการวิเคราะห์อย่างไรบ้างที่จะตอบคำถามเหล่านี้ให้ได้อย่างถูกต้องและสมเหตุสมผล
ผู้เขียนจะขอเริ่มจากการกล่าวถึงประเด็นที่เป็นจุดอ่อนของรูปแบบการประมูลที่ผ่านมาก่อน แล้วจึงจะกล่าวถึงรูปแบบของการประมูลแบบอื่นที่แตกต่างจากที่ทำมา เพื่อใช้เปรียบเทียบผลที่แตกต่างไปจากเดิมภายใต้เงื่อนไขวิธีการเปรียบเทียบที่สอดคล้องกับหลักการที่ถูกต้องต่อไป ซึ่งความเข้าใจทั้งหมดนี้น่าจะช่วยให้เราคาดการณ์เกี่ยวกับสภาพการแข่งขันที่เป็นจริงในอนาคตของธุรกิจบริการนี้ได้ดีมากขึ้นด้วย
จุดอ่อนของการประมูลที่ผ่านมาทั้งสองครั้งนั้นน่าจะอยู่ตรงที่ว่า ทาง กสทช. ได้ให้น้ำหนักกับการแข่งขันของตลาดประมูลคลื่นความถี่ ที่มากกว่า น้ำหนักที่ให้กับการแข่งขันในตลาดการให้บริการระหว่างผู้ประกอบการทั้งหลายภายหลังจากการประมูลนั่นเอง ซึ่งแม้จะเป็นการประมูลที่ทำให้รัฐได้เงินค่าประมูลที่สูง แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีการกระจุกตัวของจำนวนใบอนุญาตการใช้คลื่นอยู่ที่ผู้ประกอบการรายเดิมบางรายที่มากกว่ารายอื่นๆ ในขณะที่ผู้ประกอบการเดิมบางรายก็ไม่ได้ชนะการประมูลใบอนุญาตเลย เพราะมูลค่าการประมูลที่ถูกดันให้สูงเกินความคาดหมายมาก จนถึงกับหักปากกาเซียนนักวิเคราะห์ทุกรายสำหรับการประมูลในครั้งนี้
และแม้ว่าผู้ประกอบการรายใหม่จะสามารถชนะการประมูลใบอนุญาตการใช้คลื่นไปได้ แต่ก็จะต้องยอมจ่ายในราคาที่สูงมาก ซึ่งอาจทำให้ผู้ประกอบการรายใหม่ตกอยู่ในภาวะที่เรียกว่า winner’s curse ที่จะทำให้ความสามารถในการแข่งขันเรื่องราคาและคุณภาพของผู้ประกอบการรายใหม่ลดลงมากเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายเดิมที่มีฐานลูกค้าเดิมอยู่มากกว่า อีกทั้งยังมีความพร้อมในเรื่องของเครือข่ายทางกายภาพที่มีอยู่เดิมแล้วด้วย
ดังนั้น ผู้เขียนจึงเห็นว่า รูปแบบการออกแบบการประมูลใบอนุญาตที่เหมาะสมกว่าเดิมนั้น น่าจะมีการให้น้ำหนักกับทั้งตลาดการประมูลคลื่น 4G และกับตลาดการแข่งขันให้บริการของผู้ประกอบการในธุรกิจนี้ภายหลังจากการประมูลในลักษณะที่เท่าเทียมควบคู่กันไป โดยมีเป้าหมายของการประมูลที่มุ่งเน้นถึงประโยชน์ที่ประเทศจะได้รับจากการมีสวัสดิการสังคม (social welfare) ที่สูงสุดจากการประมูล มากกว่ารายได้ที่ได้จากการประมูล
ทั้งนี้เพราะว่า สวัสดิการสังคมที่กล่าวถึงในกรณีนี้จะประกอบด้วยผลบวกของสองส่วนคือ มูลค่าเงินประมูลที่จะได้เข้ารัฐ กับมูลค่าของส่วนเกินผู้บริโภค (consumer surplus) โดยรวมที่เกิดจากการแข่งขันที่สูงขึ้นระหว่างผู้ประกอบการทั้งหลายในตลาดนั่นเอง ดังนั้น แม้ว่าการประมูลจะสามารถทำให้รัฐได้รายรับจากการประมูลสูงสุดก็ตาม แต่ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นรูปแบบการประมูลใบอนุญาตคลื่นที่ทำให้ประเทศได้รับสวัสดิการสังคมที่สูงสุดด้วยนั่นเอง
ผู้เขียนขอนำเสนอรูปแบบการประมูลประเภทอื่นๆ มาเป็นตัวอย่างกรณีสมมติ เพื่อใช้เปรียบเทียบกับการประมูลจริงในสองครั้งที่ผ่านมาในรูปของตารางสรุปเพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจในหลักการเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังของแต่ละกรณี (ผู้สนใจรายละเอียดของแบบจำลองเชิงคณิตศาสตร์ สามารถดูเพิ่มเติมได้จากงานของ Michel Mougeot and Florence Naegelen ใน Journal of Industrial Economics, Vol.53 No.3 (Sep. 2005) pp.393-416)
ข้อมูลในตารางที่ได้นำเสนอข้างต้น ได้เปรียบเทียบรูปแบบการประมูลที่แตกต่างกัน 3 แบบได้แก่ รูปแบบที่ 1 คือรูปแบบการประมูลที่เกิดขึ้นจริงในสองครั้งสุดท้าย ที่มีการแบ่งใบอนุญาตออกเป็นครั้งละสองใบด้วยกัน ซึ่งผลที่ได้คือทำให้รัฐได้รายได้จากการประมูลที่สูง ส่วนการแข่งขันในตลาดผู้ให้บริการนั้น แม้จะได้ผู้ประกอบการรายใหม่ แต่ความสามารถในการแข่งขันกับผู้ประกอบการรายเดิมนั้นอาจมีจำกัด เพราะประสบกับปัญหาการมีต้นทุนในการประมูลที่สูง (แม้จะเป็นต้นทุนคงที่ก็ตาม โดยดูข้อถกเถียงประเด็นนี้ได้จากบทความที่แล้ว) หรือที่เรียกว่า winner’s curse ส่วนรูปแบบที่ 2 และ 3 ในตารางนั้นจะเป็นกรณีตัวอย่างสมมติ กรณีรูปแบบที่ 2 นี้จะสมมติว่า มีการประมูลแยกเป็นสองครั้ง โดยครั้งแรกจะมีการประมูลใบอนุญาตใบเดียว ในขณะที่การประมูลครั้งที่สองจะมีใบอนุญาต 3 ใบ ซึ่งการประมูลในรูปแบบที่ 2 นี้อาจสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการรายเดิมทั้งสามรายฮั้วกันเสนอราคาประมูลที่ต่ำกว่ารูปแบบที่ 1 ได้ ทำให้รัฐได้รายรับจากการประมูลที่น้อยกว่ารูปแบบที่ 1 แต่รูปแบบที่ 2 นี้ก็จะทำให้ผู้ประกอบการรายใหม่สามารถชนะการประมูลได้โดยไม่เจ็บตัว เช่นในกรณีของ winner’s curse ที่กล่าวไปแล้ว
ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบรูปแบบที่ 2 กับรูปแบบที่ 1 แล้ว เราจะเห็นได้ว่า แม้รัฐจะได้รายได้จากการประมูลที่ลดลงก็ตาม แต่สังคมโดยรวมก็จะได้รับการชดเชย (หรือ trade-0ff) ด้วยการได้ส่วนเกินผู้บริโภคที่สูงขึ้นด้วยนั่นเอง ซึ่งหมายความว่ารูปแบบที่ 2 อาจจะเป็นรูปแบบการประมูลที่เหมาะสมกว่ารูปแบบที่ 1 ได้ถ้าหากว่ารูปแบบที่ 2 ให้สวัสดิการสังคมสุทธิที่มากกว่าของรูปแบบที่ 1 นั่นเอง
ในทำนองเดียวกัน กรณีตัวอย่างสมมติในรูปแบบที่ 3 ซึ่งจะมีการประมูลใบอนุญาตทั้ง 4 ใบพร้อมกันในคราวเดียวนั้น ก็จะพบว่ากรณีนี้ผู้ประกอบการรายเดิมทั้ง 3 รายจะมีแรงจูงใจในการฮั้วประมูลกัน ซึ่งจะทำให้รัฐได้รายรับจากการประมูลที่ต่ำที่สุด แต่ในกรณีนี้ก็จะทำให้ได้ผู้ประกอบการรายใหม่ที่เข้ามาแข่งขันในตลาดการให้บริการในธุรกิจนี้ ไม่ต้องประสบกับปัญหาเรื่อง winner’s curse เหมือนในกรณีอื่นเช่นกัน
สรุปว่า รูปแบบที่ดีที่สุดจากทั้ง 3 แบบข้างต้นที่กล่าวไปแล้วนั้น จะกำหนดได้จากการใช้หลักการพื้นฐานทางเศรษฐศาสตร์ที่ว่า รูปแบบการประมูลที่ดีที่สุดนั้นจะต้องเป็นรูปแบที่ให้สวัสดิการสังคมที่สูงที่สุดด้วย ซึ่งหมายความว่าจะต้องเป็นรูปแบบที่ทำให้ผลประโยชน์ส่วนเพิ่มหน่วยสุดท้ายที่ได้จากส่วนเกินของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นจากการแข่งขันที่มากขึ้นนั้น มีค่าใกล้เคียงหรือเท่ากับ ต้นทุนหน่วยสุดท้ายที่รัฐจำต้องเสียไปด้วยการยอมรับเงินรายได้ที่จะได้ลดลงจากการประมูลนั่นเอง ซึ่งหมายความว่ารูปแบบการประมูลที่ให้รายได้การประมูลที่สูงมากในสองครั้งหลังที่ผ่านมานั้น (หรือรูปแบบที่ 1) อาจจะไม่ใช่รูปแบบการประมูลที่เหมาะสมที่สุดก็ได้ ดังนั้นระดับการแข่งขันในอนาคตที่เราจะได้เห็นจากธุรกิจนี้ต่อไปนั้น จึงไม่น่าจะใช่ระดับการแข่งขันที่เหมาะสมด้วยนั่นเอง
และนี่ก็คือ ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม ของความซับซ้อนที่เกิดจากเงื่อนไขของการแข่งขันที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเราทุกคน…….ไม่ว่าเราจะเข้าใจมันได้ดีแค่ไหนหรือไม่ก็ตาม







