การคุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภคภายใต้อนุสัญญา CISG

การคุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภคภายใต้อนุสัญญา CISG

ภายใต้หลักการขององค์การการค้าโลก (WTO) ประเทศสมาชิกสามารถกำหนดห้ามการนำเข้าสินค้าบางประเภท

ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของผู้บริโภค นั่นหมายความว่า สิทธิเหนือทรัพย์สินของบุคคลอาจถูกจำกัดลงได้ ด้วยเหตุผลด้านอนามัยของชุมชนส่วนรวม โดยการห้ามการนำเข้าดังกล่าว จะต้องไม่เป็นการกีดกันทางการค้า ตามอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยสัญญาซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ (United Nations Convention on Contracts for the International Sale of Goods (CISG)) กรณีดังกล่าวมีผลทำให้ผู้ขายต้องรับผิด เนื่องจากส่งมอบสินค้าไม่ถูกต้องตามสัญญา (Article 35) อย่างไรก็ตาม หากเป็นกรณีที่สินค้าถูกยึดหรือถูกทำลาย เนื่องจากถูกสันนิษฐานว่าอาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค แต่ยังไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจน ว่าสินค้าดังกล่าวเป็นอันตรายจริง กรณีนี้จึงมีประเด็นน่าสนใจว่า ผู้ขายจะต้องรับผิดตามอนุสัญญา CISG หรือไม่?

อนุสัญญา CISG ถูกบัญญัติโดยคณะกรรมาธิการกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ (United Nations Commission on International Trade Law) มีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้กฎหมายว่าด้วยการซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียว โดยวางหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการเกิดสัญญา สิทธิหน้าที่ของผู้ซื้อและผู้ขาย อนุสัญญาฉบับนี้ได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ ปัจจุบันมีประเทศเข้าเป็นภาคีจำนวน 83 ประเทศ ประเทศไทยยังมิได้เข้าเป็นภาคีของอนุสัญญา CISG ดังนี้ หากมีประเด็นพิพาทเกี่ยวกับการซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศเกิดขึ้นสู่ศาล ศาลอาจนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บังคับแก่ข้อพิพาทดังกล่าว ซึ่งบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทย มีความไม่สอดคล้องกับแนวปฏิบัติทางการค้าระหว่างประเทศในหลายประการ รวมถึงประเด็นเรื่องการส่งมอบสินค้าให้ถูกต้องตามสัญญา

         สำหรับหน้าที่ของผู้ขายในการส่งมอบสินค้า อนุสัญญา CISG บัญญัติว่า ผู้ขายจะต้องส่งมอบสินค้าที่มีลักษณะ ปริมาณ และคุณภาพตรงตามที่กำหนดไว้ในสัญญา (Article 35(1)) สำหรับกรณีที่สัญญาซื้อขายมิได้กำหนดเป็นอย่างอื่น สินค้าจะต้องมีความเหมาะสมตามวัตถุประสงค์ของการใช้งานสินค้านั้นๆ ตามปกติ (Article 35(2)(a)) ในคดี Mussels case (German Supreme Court of 8 March 1995) ผู้ซื้อจากประเทศเยอรมันทำสัญญาซื้อขายหอยแมลงภู่ กับผู้ขายจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ต่อมาพบว่าหอยแมลงภู่มีการปนเปื้อนของแคดเมียม เกินกว่าปริมาณที่กระทรวงสาธารณสุขของเยอรมันกำหนดไว้ แต่ปริมาณแคดเมียมดังกล่าว ต่ำกว่าที่สวิตเซอร์แลนด์กำหนดว่าเป็นอันตราย กรณีนี้ศาลได้วางหลักว่าผู้ขายต้องส่งมอบสินค้าที่มีคุณภาพเป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่ประเทศผู้ขายระบุไว้ จึงจะถือว่าผู้ขายได้ส่งมอบสินค้าถูกต้องตามสัญญา โดยไม่จำเป็นต้องพิจารณาข้อกำหนดเกี่ยวกับคุณภาพของสินค้าในประเทศผู้ซื้อแต่อย่างใด ทั้งนี้ เนื่องจากโดยปกติแล้ว ผู้ขายไม่สามารถเข้าไปรับรู้ถึงข้อกำหนดเกี่ยวกับคุณภาพของสินค้าในประเทศผู้ซื้อ เว้นแต่

1) กฎเกณฑ์เกี่ยวกับคุณภาพสินค้าในประเทศผู้ขาย สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ที่บัญญัติโดยประเทศผู้ซื้อ

2) ผู้ซื้อได้แจ้งผู้ขายเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ดังกล่าวแล้ว หรือ

3) ผู้ขายรู้หรือควรจะรู้ เกี่ยวกับกฎเกณฑ์เกี่ยวกับสินค้าดังกล่าว ที่บัญญัติโดยประเทศผู้ซื้อ

ดังนี้ ศาลจึงตัดสินว่า ผู้ขายได้ส่งมอบสินค้าถูกต้องตามสัญญา เนื่องจากสามารถบริโภคได้ตามกฎเกณฑ์ที่ออกโดยประเทศผู้ขาย ส่วนกรณีที่สินค้าถูกสันนิษฐานว่า อาจเป็นอันตรายต่ออนามัยและความปลอดภัยของผู้บริโภค คดี Frozen pork case (Germany 2 March 2005 Federal Supreme Court) วางหลักว่า แม้จะยังไม่มีหลักฐานหรือข้อมูลยืนยันว่า สินค้านั้นเป็นอันตรายจริง ผู้ขายจะต้องรับผิดตามอนุสัญญา CISG หากข้อสันนิษฐานดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการใช้งานตามปกติของสินค้านั้น

ในคดี Frozen pork case ผู้ซื้อจากประเทศเยอรมันทำสัญญาซื้อเนื้อหมูแช่แข็งกับผู้ขาย จากประเทศเบลเยียม โดยผู้ขายมีหน้าที่ต้องส่งสินค้าไปยังประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา เมื่อสินค้าไปถึงปลายทาง กลุ่มประเทศใน European Union มีการสันนิษฐานว่า เนื้อหมูจากประเทศเบลเยียมมีการปนเปื้อนจากไดออกซิน ด้วยเหตุนี้ เนื้อหมูแช่แข็งดังกล่าวจึงถูกยึดและทำลาย โดยศุลกากรของประเทศบอสเนีย และเฮอร์เซโกวีนา

กรณีนี้ศาลพิจารณาแล้วพบว่า การที่สินค้าถูกสันนิษฐานว่ามีการปนเปื้อนของไดออกซิน มีผลกระทบต่อมูลค่าตลาดของสินค้าและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ซึ่งปัจจัยเหล่านี้มีผลทำให้สินค้ามีความไม่เหมาะสมต่อการใช้งานตามปกติ กล่าวคือ สินค้าดังกล่าวไม่สามารถขายต่อไป หรือนำมาบริโภคได้ แม้ว่าจะยังไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่า มีการปนเปื้อนของไดออกซินจริงหรือไม่ ดังนี้ ผู้ขายจึงต้องรับผิดตาม Article 35(2)(a) ตามอนุสัญญา CISG เห็นได้ว่า การส่งมอบสินค้าให้ถูกต้องตรงตามสัญญาภายใต้อนุสัญญา CISG ไม่ได้คำนึงถึงลักษณะทางกายภาพของสินค้าเพียงอย่างเดียว แต่หากยังต้องพิจารณาถึงปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ที่กระทบต่อการใช้งานตามปกติของสินค้านั้นอีกด้วย ซึ่งส่งผลดีต่อผู้บริโภคที่จะได้รับความคุ้มครองด้านความปลอดภัยและสุขอนามัย

เมื่อพิจารณาประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทย ว่าด้วยการซื้อขายพบว่า ยังไม่มีการบัญญัติหรือตีความการส่งมอบสินค้าให้ถูกต้องตามสัญญา ให้ครอบคลุมถึงประเด็นที่กล่าวมาข้างต้นแต่อย่างใด ดังนี้ ประเทศไทยจึงควรพิจารณาถึงการเข้าร่วมเป็นภาคีของอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศ (CISG) หรืออาจปรับปรุงบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติทางการค้าระหว่างประเทศ

------------------------

 ชญานี ศรีกระจ่าง

คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์