มูบาดาลา อะไรจริง?

มูบาดาลา อะไรจริง?

ส่วนใหญ่คงได้ยินชื่อ “มูบาดาลา”จากข้อความทางไลน์ ประมาณว่าบริษัทนี้ร่วมกับอดีตนายก ใช้อำนาจรัฐ “สมคบกันฮุบ ทรัพยากรของชาติ” ไปเป็นของส่วนตัว

ข้อความนี้ถูกส่งต่อมากเพราะผู้เขียนจับจริตคนไทยได้ ชวนให้ส่ง 10 คนขึ้นจะได้บุญมากมาย แต่ก็มีคนถามว่า จริงไหม?

บริษัท Mubadala Development Company ตั้งขึ้นในปี 2545 เป็นหน่วยลงทุนและพัฒนาธุรกิจของรัฐอาบูดาบี หนึ่งในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความมั่งคั่งยั่งยืนให้กับประเทศ ด้วยการพัฒนาความหลากหลายทางเศรษฐกิจ ซึ่งร่ำรวยมาจากทรัพยากรปิโตรเลียม มีมกุฎราชกุมารของอาบูดาบีเป็นประธานบอร์ด

ด้วยทรัพย์สินรอบโลกกว่า 66.3 พันล้านดอลลาร์ (2.2 ล้านล้านบาท) เขามีธุรกิจหลายด้านตั้งแต่ Aerospace อาวุธยุทโธปกรณ์ Semiconductors IT และการสื่อสาร โรงพยาบาล อสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐาน บริหารเงินทุน จนถึงโลหะและเหมืองแร่ และในด้านพลังงานก็มีทั้งปิโตรเลียม พลังงานหมุนเวียน ไฟฟ้าและสาธารณูปโภค

ปี 2551 มูบาดาลาเริ่มเข้ามาธุรกิจปิโตรเลียมในประเทศไทยด้วยการซื้อกิจการของบริษัท Pearl Energy ซึ่งจดทะเบียนในประเทศสิงคโปร์ จึงได้สิทธิสัมปทานปิโตรเลียมในไทย อินโดนีเซีย เวียดนาม และมาเลเซีย ของบริษัทมาด้วย นอกจากนี้ Mubadala Petroleum (MP) ยังมีธุรกิจน้ำมัน-ก๊าซในอีกหลายประเทศ เช่น กาตาร์ โอมาน บาห์เรน รวมสัดส่วนการผลิตเฉลี่ย 398,000 บาร์เรล/ต่อวัน ในปี 2557

ในประเทศไทยนอกจากแหล่งนงเยาว์ที่ไลน์เอ่ยถึง ยังมีแหล่งมโนราห์ที่กำลังเริ่มผลิต และแหล่งอื่นที่ผลิตแล้ว ได้แก่ จัสมินและบานเย็น รวมผลิตได้ 15,080 บาร์เรล/ต่อวันในปี 2557

ส่วนที่จริงในไลน์ยังมีอีกว่าสำนักงาน Pearl ประเทศไทย ตั้งอยู่ที่ตึกชินวัตร ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ MP ประเทศไทย แต่อาจไม่เกี่ยวข้องกับอดีตนายกเลยก็ได้ เพราะคงมีผู้เช่าตึกอื่นๆอีกมากที่อยู่นอกเครือชินวัตร

ส่วนจะมีความสัมพันธ์ระหว่าง(อดีต?)ผู้บริหารมูบาดาลาคนใดกับผู้ซื้อสโมสรฟุตบอลจากอดีตนายกหรือไม่ ดิฉันมิอาจทราบ สมมติว่าจริง ก็ไม่ได้แปลว่าบริษัทที่มั่งคั่งด้วยทุนและพร้อมด้วยศักดิ์ศรีของสมบูรณาญาสิทธิราชย์ จะต้องลดตัวมาร่วมมือกับนักการเมืองเพื่อหาเศษหาเลยในประเทศไทยซึ่งก็มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข

แต่น่าจะเป็นการลงทุนอย่างมืออาชีพมากกว่า เพราะการให้สัมปทานในประเทศไทยใช้ระบบประมูลแข่งขัน ผู้ชนะคือผู้ที่จะลงทุนสูงที่สุดอย่างเหมาะสมกับศักยภาพของแต่ละแปลง เพื่อให้โอกาสประเทศพบปิโตรเลียมเร็วและมากที่สุด ในระบบTHAILAND III ถ้าพบมากกำไรมากรัฐก็จะเก็บผลประโยชน์สูงมากในอัตราก้าวหน้า

ธุรกิจสำรวจปิโตรเลียมต้องลงทุนสูงและเสี่ยงมาก คงไม่มีใครเสี่ยงโดยปราศจากความเชี่ยวชาญ ทั้งนี้ Pearl Energy เป็นบริษัทที่มีหลักมีฐาน เคยอยู่ในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ หลังจากถูกซื้อกิจการ ผู้ก่อตั้งของ Pearl ก็ออกมาตั้งบริษัทใหม่ชื่อ KrisEnergy โดยใช้ประสบการณ์ความเชี่ยวชาญของตนทำธุรกิจสำรวจปิโตรเลียมอย่างมืออาชีพ ไม่ใช่ธุรกิจระบบอุปถัมภ์

ข่าวลือยอดนิยมอีกอย่างคือ เพิร์ลออยได้รับ 5 แปลงสัมปทานรอบที่ 20 ในปี 2550 โดยอาศัยอดีตนายก แต่ข้อเท็จจริงคือ มีการประมูลแข่งขัน แม้จะไม่เป็นหางว่าวแต่ก็เปิดกว้างและตรวจสอบได้ในเว็บไซต์ของคณะรัฐมนตรี

นอกจากนี้ ทุกแปลงที่ผู้รับสัมปทานชนะการประมูลได้ไปต้องลงทุนสำรวจจริงตามที่เสนอ เพราะว่ารัฐกำหนดให้ต้องค้ำประกันการลงทุนใน 3 ปีแรก ถ้าสถานการณ์เปลี่ยนไปเกิดไม่มีกำลังพอ เขาก็อาจหาคนมาเข้าหุ้นร่วมลงทุน หรือไม่ไหวจริงๆ ก็ต้องปล่อยโครงการให้คนอื่นซื้อไป จะซื้อด้วยมูลค่าที่น้อย หรือมากกว่าเงินที่จะต้องลงทุนสำรวจแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับการประเมินความเสี่ยงและข้อตกลงที่คนนอกมิอาจทราบได้

เพิร์ลออยได้ขายหุ้นใน 2 แปลงให้แก่บริษัทคาร์นาวอน และต่อมาบริษัทตัวเองได้ถูกขายให้กับมูบาดาลา ผลปรากฏว่าตั้งแต่ต้นปี 2557 ทั้ง 5 แปลงสัมปทานได้ถูกคืนให้รัฐบาลหมดแล้ว เพราะผู้ถือสัมปทานลงทุนสำรวจไปแล้วไม่พบปิโตรเลียมที่จะผลิตขึ้นมาขายได้ แม้จะยื้อเวลาต่อถึง 9 ปีได้ แต่เขาตัดสินใจว่าไม่คุ้มที่จะลงทุนเพิ่มขึ้นอีก เรียกว่าขาดทุนจนเลิกล้มโครงการไปแล้วอดีตนายกคงไม่เอาเงินมาลงทุนที่เสี่ยงแบบนี้หรอก เพราะว่าเขามีธุรกิจอื่นที่เสี่ยงน้อยกว่าและกำไรมากกว่า ที่เด่นสุดก็น่าจะเป็น “ธุรกิจการเมือง” เพราะถึงแม้จะถูกศาลตัดสินยึดทรัพย์และจำคุกแล้ว ก็เพียงบางส่วนบางคดี

การที่ใครไปปล้นบ้านหลายๆ หลังในหลายๆ หมู่บ้าน และบังเอิญรู้จักกับยามหน้าหมู่บ้านของคุณ ต่อมาวันหนึ่งบ้านคุณเกิดของมีค่าหาย มันไม่ได้แปลว่าใครคนนั้นต้องเป็นตัวการ แต่อาจจะเป็นขโมยรายอื่น หรือคนในบ้านคุณเอง หรือคุณอาจจะหาของไม่เจอเพราะเกิดวางผิดที่ แต่ในที่สุดก็หาพบ อาจไม่ได้มีใครมาขโมยไปก็ได้ (เสมือนเรื่องสัมปทานที่โจษจันกันว่าทุจริต)

ส่วนกรณีของหมู่บ้านอื่นๆ ที่มีหลักฐานว่าใครบุกรุกเข้าไปขโมยจริงๆ ก็ต้องตามจับมาขึ้นศาล ให้ตัดสินความผิดและลงโทษอย่างสาสมเปรียบเทียบอย่างนี้คงไม่ยากที่จะเข้าใจ

ในบรรยากาศการแบ่งสี การไม่จับแพะชนแกะ หรือเหมาสรุป ไม่ควรถูกตีความว่าเป็นการยอมรับให้คนผิดได้ลอยนวล