การศึกษาเศรษฐศาสตร์ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง

การศึกษาเศรษฐศาสตร์ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง

แม้ว่าเศรษฐศาสตร์ในโลกตะวันตก จะมีพัฒนาการมายาวนานจากแนวคิดเศรษฐศาสตร์การเมืองยุคคลาสสิก ในศตวรรษที่ 18-19

มาสู่เศรษฐศาสตร์แบบนีโอคลาสสิก ในศตวรรษที่ 20 แต่สำหรับประเทศไทย องค์ความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ ซึ่งแน่นอนว่าได้รับอิทธิพลจากโลกตะวันตกนั้น มีพัฒนาการในระยะเวลาที่สั้นกว่ามาก

ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ ระบุว่า การปรากฏขึ้นขององค์ความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ เริ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในหมู่ชนชั้นนำไทยผ่าน “บทนิพนธ์ว่าด้วยทุนและแรงงาน” ของกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เมื่อปี 2431 อย่างไรก็ตาม องค์ความรู้ดังกล่าว ถูกให้ความหมายผ่านมุมมองของชนชั้นนำไทย ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 พระยาสุริยานุวัตร ได้เขียนหนังสือที่ชื่อว่า “ทรัพยศาสตร์” ซึ่งครอบคลุมแนวคิดเศรษฐศาสตร์การเมืองแบบคลาสสิก โดยนำมาประยุกต์ใช้ในการอธิบายเศรษฐกิจสังคมไทยในขณะนั้นแต่การเผยแพร่ดังกล่าว ถูกระงับเนื่องจากมีความหวาดเกรงว่า แนวคิดดังกล่าวจะก่อให้เกิดความแตกแยกในสังคมไทย

การศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์ไทยเพิ่งเริ่มต้น ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และการเมืองในรูปแบบของการศึกษาลัทธิเศรษฐกิจ และขยายวงมาที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยปรับเปลี่ยนเป็นการศึกษาที่เน้นหนักไปที่สำนักนีโอคลาสสิก และเป็นวิชาชีพเทคนิคมากขึ้น ภายหลังการดำเนินการตามแผนพัฒนาฯฉบับที่ 1 จวบจนปัจจุบัน การศึกษาเศรษฐศาสตร์ได้ขยายตัวไปในสถาบันอุดมศึกษาถึง 27 แห่ง โดยยังคงเน้นการศึกษาไปที่แนวคิดแบบนีโอคลาสสิก พัฒนาการของเศรษฐศาสตร์ไทยในอีกด้านหนึ่ง จึงแยกไม่ขาดจากบริบททางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมภายในประเทศ

อย่างไรก็ตาม การศึกษาและประเมินสถานภาพเศรษฐศาสตร์ในไทยมีจำนวนน้อย นับจากการศึกษาเศรษฐศาสตร์ของไทยโดย ฉัตรทิพย์ นาถสุภา ในปี 2516 ก็มีการถกเถียงเรื่อง “วิกฤตการณ์ความคิดของเศรษฐศาสตร์ไทย” ในปี 2523  อันเป็นการถกเถียงที่สืบเนื่องมาจากการตั้งคำถาม ต่อการนำเอาทฤษฎีเศรษฐศาสตร์นีโอคลาสสิกมาใช้กับบริบทของไทย สถานภาพของเศรษฐศาสตร์ไทย ได้รับการศึกษาอีกครั้งในปี 2528 ภายใต้การศึกษาสถานภาพของการเรียนการสอน และการวิจัยเศรษฐศาสตร์ในประเทศเอเชีย 9 ประเทศ จวบจนเมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในประเทศไทยครั้งใหญ่ ที่รู้จักกันในนาม “วิกฤติต้มยำกุ้ง” จึงเกิดการตั้งคำถาม ถึงศักยภาพในการให้คำอธิบาย การนำเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหา และทางเลือกในการก้าวออกจากวิกฤติทางเศรษฐกิจอีกครั้ง

ในต้นศตวรรษที่ 21 วิกฤติเศรษฐกิจในโลกตะวันตกที่เกิดขึ้น ส่งผลสะเทือนทำให้นักศึกษาและคณาจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ เรียกร้องให้มีการประเมินถึงศักยภาพในการอธิบาย รวมถึงการนำเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหา ของแนวคิดทฤษฎีที่สอนกันอยู่ ผ่านการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ ไล่เรียงไปตั้งแต่ กลุ่มPost-autistic Economics Movement ในฝรั่งเศส, Econ 4 ในสหรัฐอเมริกา จนมาถึงกลุ่ม Post-Crash Economics Society และ Cambridge Society for Economic Pluralism ในอังกฤษ

ข้อวิพากษ์สำคัญของกลุ่มเหล่านี้ คือ การเรียนการสอนเศรษฐศาสตร์สูญเสียมุมมองในภาพกว้าง มีการใช้โมเดลและคณิตศาสตร์มากเกินไป ทำให้แยกขาดกับสภาพความเป็นจริง จึงส่งผลต่อความสามารถในการอธิบายสภาพความเป็นจริง ผลที่ตามมาคือ องค์ความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ไม่สามารถจัดการกับปัญหาต่างๆ ที่เผชิญอยู่ได้ ข้อเรียกร้องดังกล่าว ย่อมส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการศึกษาเศรษฐศาสตร์ในอนาคตไม่มากก็น้อย และแน่นอนว่าการวิพากษ์ดังกล่าว ย่อมส่งผลกระทบต่อการศึกษาเศรษฐศาสตร์ไทยไปด้วย อย่างยากที่จะหลีกเลี่ยงได้

 จากความเคลื่อนไหวข้างต้น ผู้เขียนจึงได้ลองสำรวจความคิดเห็น ของนักศึกษาเศรษฐศาสตร์จำนวนหนึ่งที่คณะ ซึ่งมีคุณลักษณะใกล้เคียงกับนักศึกษากลุ่มต่างๆ ในโลกตะวันตก ในเบื้องต้นพบว่า มีหน่ออ่อนของการตั้งคำถามดังกล่าวในหมู่นักศึกษาไทยด้วยเช่นกัน แม้ว่าจะไม่ได้มีการปะทุออกมาเป็นการเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้ คำถามต่อการศึกษาเศรษฐศาสตร์ที่พบ มีประเด็นใกล้เคียงกันกับกลุ่มต่างๆ ในโลกตะวันตก โดยเฉพาะความสมจริง ความสามารถในการประยุกต์ใช้ทฤษฎี รวมถึงความเป็นสหวิทยาการของเศรษฐศาสตร์

เมื่อสำรวจต่อไปว่า ถ้าเช่นนั้นการเรียนการสอนวิชาเศรษฐศาสตร์ควรอยู่ในรูปแบบใด คำตอบส่วนใหญ่มุ่งไปที่การเสนอให้นำเอาสถานการณ์จริงมาอธิบาย โดยใช้วิธีการต่างๆ เช่น การมีกรณีศึกษาจากเหตุการณ์จริง การลงพื้นที่ รวมถึงการประยุกต์ใช้กับปัญหาเศรษฐกิจสังคม ในชีวิตประจำวันที่เกิดขึ้นจริง เพื่อสร้างความสามารถในการอธิบายสภาพความเป็นจริงให้มากขึ้น

การศึกษาเศรษฐศาสตร์ของไทยในอนาคต จึงต้องปรับตัวให้สอดคล้องตอบรับกับสภาพความเป็นจริง และมีมุมมองในภาพกว้างในลักษณะสหวิทยาการ เช่นเดียวกับข้อเรียกร้องของกลุ่มต่างๆ ที่ผลักดันให้เศรษฐศาสตร์ในโลกตะวันตกต้องมีการปรับตัว ขณะเดียวกัน ก็ต้องประยุกต์ใช้ให้สอดรับกับบริบทเศรษฐกิจสังคมไทย ซึ่งมีพลวัตอยู่ตลอดเวลา นับเนื่องมาตั้งแต่การใช้แผนพัฒนาฯฉบับที่ 1 จนก้าวเข้าสู่กระแสโลกาภิวัตน์ ภายในกรอบของแนวคิดแบบเสรีนิยมใหม่ ไล่เรียงไปตั้งแต่การสร้างองค์ความรู้ในเรื่องเศรษฐกิจฟองสบู่และวิกฤติการเงิน การก้าวออกจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง การลดความเหลื่อมล้ำนานาประการ ไปจนถึงปัญหาเชิงเศรษฐศาสตร์การเมือง ว่าด้วยบทบาทของนักเศรษฐศาสตร์ ในการกำหนดนโยบายสาธารณะที่มักมีความย้อนแย้งระหว่างการลดบทบาทชี้นำลงในระบอบประชาธิปไตย กับการเพิ่มบทบาทชี้นำในระบอบเผด็จการ

---------------------

กุลลินี มุทธากลิน

คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย