จับตามาเลเซีย: ค่าเงิน เศรษฐกิจ การเมือง

จับตามาเลเซีย: ค่าเงิน เศรษฐกิจ การเมือง

ภูมิภาคเอเชียขณะนี้กำลังเป็นที่จับตาของนักลงทุนทั่วโลก ว่าจะเป็นต้นเหตุของปัญหาเศรษฐกิจครั้งใหญ่อีกครั้งหรือไม่

จากสามสถานการณ์ในภูมิภาค ที่กำลังคุกรุ่นขณะนี้ เรื่องแรก คือ เศรษฐกิจจีนที่ชะลอลงมาก พร้อมการปรับลดรุนแรงของราคาสินทรัพย์และค่าเงิน จนห่วงกันว่าเศรษฐกิจจีนอาจมีปัญหามากกว่าที่เข้าใจกัน

สอง พื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศตลาดเกิดใหม่ในเอเชียได้อ่อนแอลง และห่วงกันว่าจะสามารถทนทานแรงกระทบ ที่จะมากับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปในเศรษฐกิจโลกได้หรือไม่ โดยเฉพาะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐ

สาม ความวุ่นวายของการเมืองในหลายประเทศ ที่อาจนำไปสู่การสูญเสียความเชื่อมั่นของนักลงทุน ต่อการบริหารจัดการเศรษฐกิจในภูมิภาค ซึ่งจะทำให้เงินทุนต่างประเทศยิ่งไหลออกมากขึ้น นี่คือความห่วงใย

ในบรรดาประเทศตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย ที่ประเมินว่ามีความเปราะบาง มาเลเซียขณะนี้ก็เป็นประเทศหนึ่งที่กำลังอยู่ในสายตานักลงทุน จากการเติบโตทางเศรษฐกิจได้อ่อนแอลง ค่าเงินริงกิตอ่อนลงมาก และมีปัญหาการเมืองในประเทศที่ล่าสุด มีการเดินขบวนเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เพราะไม่สามารถอธิบายที่มาที่ไปของเงินจำนวน 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่โอนเข้าบัญชีส่วนตัวของตนได้

ซึ่งประเด็นที่นักลงทุนห่วงก็คือ ถ้าสถานการณ์การเมืองยืดเยื้อขึ้น จนเป็นการเผชิญหน้าทางการเมืองนอกสภา ระหว่างกลุ่มผู้สนับสนุนนายกรัฐมนตรี (เสื้อแดง) และกลุ่มผู้เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออก (เสื้อเหลือง) ความไม่แน่นอนของการเมืองในมาเลเซียก็จะมีมาก กดดันให้เศรษฐกิจและค่าเงินริงกิตยิ่งอ่อนแอมากขึ้น ซึ่งในกรณีเลวร้ายสุดก็คือ การปะทุเป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลกระทบไปทั่ว นี่คือประเด็นที่เขียนวันนี้

เศรษฐกิจมาเลเซียขณะนี้อ่อนแอลง การขยายตัวในไตรมาสหนึ่งปีนี้ลดลงเหลือร้อยละ 5.6 และไตรมาสสองลดลงเหลือร้อยละ 4.9 ปัญหาเศรษฐกิจของมาเลเซียขณะนี้ มาจากสี่เรื่องหลัก คือ

หนึ่ง การส่งออกที่ชะลอตัวลงมากตามการอ่อนตัวของเศรษฐกิจจีนและเศรษฐกิจโลก

สอง ราคาสินค้าโภคภัณฑ์และราคาน้ำมันที่ลดลงมากในตลาดโลก กระทบรายได้จากการส่งออกและอำนาจซื้อของคนในประเทศ

สาม การไหลกลับของเงินทุนต่างประเทศ และ สี่ การลดลงของความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อการบริหารจัดการเศรษฐกิจของรัฐบาลมาเลเซีย เหล่านี้ทำให้ค่าเงินริงกิตได้อ่อนลงมากสุดในช่วง 17 ปีที่ผ่านมาคือ อ่อนค่าไปแล้ว 16.8 เปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่ต้นปี

ในกรณีค่าเงิน ปัญหาเศรษฐกิจและสถานการณ์การเมืองในประเทศ ได้สร้างแรงกดดันต่อเงินริงกิตมาตั้งแต่ไตรมาสสอง แต่หลังจากที่ทางการจีนประกาศปรับลดค่าเงินหยวน เมื่อต้นเดือนสิงหาคม เงินริงกิตก็ยิ่งอ่อนค่าลงมาก ส่วนหนึ่งเพราะตลาดคาดว่า ประเทศในเอเชียคงพยายามอ่อนค่าสกุลเงินของตนตาม เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน (Currency War) อีกส่วนหนึ่งมาจากความห่วงใยของนักลงทุน จากตัวเลขทุนสำรองทางการของมาเลเซียที่ลดลงมาก (ปัจจุบันต่ำกว่า 100 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ส่วนหนึ่งสะท้อนความพยายามของธนาคารกลาง ที่เข้าแทรกแซงเพื่อดูแลเสถียรภาพค่าเงินริงกิต ปัจจุบันเงินริงกิตอ่อนค่าลงมากสุดในเอเชีย และตลาดก็คาดว่าเงินริงกิตจะอ่อนค่าต่อไป โดยเฉพาะถ้าสถานการณ์การเมืองในมาเลเซียไม่มีแนวโน้มดีขึ้น

การเดินขบวนเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกเมื่อปลายเดือนที่แล้ว จากมูลเหตุของเงินโอนลึกลับเข้าบัญชีส่วนตัวของนายกรัฐมนตรี บวกกับการบริหารงานที่ล้มเหลว และขาดธรรมาภิบาลของกองทุน One MDBที่ล่อแหลมต่อการทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานที่ปรึกษา แสดงชัดเจนว่ารัฐบาลมาเลเซียขณะนี้ ขาดการยอมรับจากประชาชน โดยเฉพาะชนชั้นกลาง แต่พลังของประชาชนที่ออกมาเดินขบวนเรียกร้องและใส่เสื้อยืดสีเหลืองแสดงพลัง ยังมีจำนวนไม่มากพอที่จะกดดันนายกรัฐมนตรีได้

รวมทั้งมีข้อสังเกตว่า ผู้ร่วมเดินขบวนส่วนใหญ่เป็นคนมาเลย์เชื้อชาติจีนและอินเดีย ไม่ค่อยมีคนพื้นเมืองมาเลย์เข้าร่วม ทำให้กระบวนการต่อต้านรัฐบาลไม่สะท้อนพลังประชาธิปไตยของมาเลเซียที่แท้จริง ตรงกันข้ามกลุ่มสนับสนุนรัฐบาล ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนเชื้อสายมาเลย์ ก็กำลังรวมตัวเพื่อแสดงพลังสนับสนุนรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีกลางเดือนหน้า (ตุลาคม) และกลุ่มนี้ก็จะใส่เสื้อสีแดงเป็นสัญลักษณ์

ดังนั้น เมื่อพลังประชาธิปไตยไม่มีความเป็นปึกแผ่น ข้อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีมาเลเซียลาออกจากตำแหน่ง จึงไม่ได้รับการตอบสนอง มองไปข้างหน้าการเรียกร้องโดยกลุ่มเสื้อเหลืองคงยืดเยื้อและอาจวุ่นวายมากขึ้น เพราะทุกครั้งที่สีเหลืองออกมาแสดงพลังขับไล่ คาดได้ว่าเสื้อสีแดงก็คงออกมาแสดงพลังสนับสนุนเช่นกัน สถานการณ์เช่นนี้จะสร้างความไม่แน่นอน และกระทบความมั่นใจของนักลงทุน ผลก็คือเศรษฐกิจและค่าเงินริงกิตจะได้รับแรงกดดันมากขึ้นๆ

คำถามที่ตามมาก็คือ

หนึ่ง จะเกิดวิกฤติค่าเงินริงกิตหรือไม่ และ

สอง การอ่อนตัวของค่าเงินริงกิตจะนำไปสู่การเกิดปัญหาเศรษฐกิจใหญ่ในมาเลเซียหรือไม่

ในกรณีแรก การอ่อนค่าอย่างรวดเร็วของเงินริงกิต ต้องถือว่าเป็นวิกฤติแล้ว แต่เป็นวิกฤติที่ทางการยังควบคุมได้ อย่างไรก็ตาม ภาวะเศรษฐกิจโลก ราคาน้ำมันและความวุ่นวายของการเมืองที่มีอยู่คงจะสร้างแรงกดดันให้เงินริงกิตอ่อนค่าต่อไป

ปกติในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน จะมีทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย เมื่อค่าเงินอ่อนลง เช่น กรณีเงินริงกิตราคาถูก ก็จะมีผู้เข้ามารับซื้อเพื่อเก็งกำไร โดยหวังให้ค่าเงินริงกิตแข็งค่าขึ้นในอนาคต เพื่อทำกำไร การมีผู้เข้ามารับซื้อนี้เป็นอีกแรงหนุนหนึ่ง ที่ช่วยไม่ให้เงินริงกิตอ่อนค่าลงมาก อย่างไรก็ตาม ณ จุดนี้ ทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับตัวเลขทุนสำรองทางการเป็นสำคัญ คือถ้าตัวเลขทุนสำรองทางการของมาเลเซียลดลงมากและเร็ว จุดนี้อาจจะทำให้นักลงทุนไม่กล้าเข้ามาช้อนซื้อเงินริงกิต ทำให้เงินริงกิตอาจเคลื่อนไหวเป็นทางเดียวหรือ แบบ Free fall มากขึ้น คือไม่มีแรงหนุนที่จะพยุง ดังนั้น ต่อคำถามว่าวิกฤติค่าเงินที่รุนแรงจะเกิดขึ้นหรือไม่ คำตอบอยู่ที่ขนาดของเงินสำรองทางการและการดูแลเสถียรภาพค่าเงินของทางการมาเลเซีย ตัวเลขทุนสำรองทางการจึงเป็นตัวเลขที่ต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดต่อไป

ต่อคำถามที่สอง ที่ต้องเข้าใจก็คือวิกฤติเศรษฐกิจในทุกประเทศที่เกิดขึ้น ส่วนใหญ่จะมาจากการก่อหนี้ที่เกินตัว ที่มาจากการใช้จ่ายเกินตัวของเศรษฐกิจ และเจ้าหนี้ไม่มีความมั่นใจในความสามารถชำระหนี้ของประเทศ เรียกคืนเงินกู้ก่อนกำหนดไม่ต่ออายุหนี้ หรือไม่ให้กู้ใหม่ ทำให้เกิดการไหลออกของเงินทุนต่างประเทศอย่างฉับพลัน สร้างปัญหาสภาพคล่องต่อระบบการเงินและเศรษฐกิจ นำไปสู่การเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ

ในกรณีของมาเลเซีย ระดับหนี้ภาครัฐต่อรายได้ประชาชาติยังไม่สูง ก็คือประมาณร้อยละ 50 ของรายได้ประชาชาติ ดุลบัญชีเดินสะพัดก็เกินดุลไม่ใช่ขาดดุล คือไม่มีการใช้จ่ายเกินตัว ดังนั้น พื้นฐานเศรษฐกิจของมาเลเซียยังดีพอควร ทำให้ความเปราะบางในระยะต่อไปน่าจะมาจากการอ่อนค่าของเงินริงกิต และความเชื่อมั่นในการแก้ไขปัญหาของภาครัฐ ที่จะกระทบการไหลออกของเงินทุนต่างประเทศ และขนาดของทุนสำรองระหว่างประเทศ

ดังนั้น สำหรับมาเลเซีย ตัวเลขเงินทุนสำรองทางการ จึงเป็นสิ่งที่ต้องจับตา