ประนาม ‘ผู้ก่อการร้าย’

ประนาม ‘ผู้ก่อการร้าย’

ไม่ว่าเหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์ เมื่อหัวค่ำวันที่ 17 ส.ค. จะเกิดจากฝีมือใครหรือมีจุดประสงค์อย่างไร

 ต้องนับเป็นเหตุการณ์ที่ี่โลกต้องร่วมกัน“ประนาม” เพราะเป็นความโหดร้ายที่กระทำต่อผู้บริสุทธิ์และไม่ใช่คู่ขัดแย้ง จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ ขณะเดียวกันต้องแสดงความ“ไว้อาลัย”กับผู้เสียชีวิต และแสดงความเสียใจกับญาติพี่น้องที่ต้องสูญเสียคนในครอบครัว

000 เหตุการณ์ครั้งนี้ต้องถือว่ารุนแรงที่สุดนับตั้งแต่มี คสช.และรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และแน่นอนว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะถูกประโคมโหมข่าวไปทั่วโลก ซึ่งคงสมประสงค์ของผู้ก่อเหตุและ “ผู้บงการ” ไม่ว่ากลุ่มคนที่ว่าจะเป็นขบวนการข้ามชาติ ที่้ก่อเหตุด้วยความไม่พอใจในนโยบายรัฐบาลไทย หรือหวังกระทบชิ่งไปถึงประเทศที่สามก็ตาม

000 แต่ขณะเดียวกันหากเป็นฝีมือคนไทยอย่างที่มีการคาดการณ์ ว่าอาจเป็นเพราะสาเหตุการโยกย้ายข้าราชการ หรือความไม่พอใจทางการเมืองในช่วงที่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ใกล้คลอด ก็ยิ่งนับเป็นเรื่อง“เลว”และ“ร้าย”มาก เพราะเป็นการจงใจ“ฆ่า”คนไทยด้วยกันเอง และเป็นการทำร้ายประเทศชาติของตัวเอง เพราะต้องเล็งเห็นผลอยู่แล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อภาพลักษณ์ของบ้านเมือง 

000 อย่างน้อยก็เกิดผลกระทบแน่นอนกับ“การท่องเที่ยว”ที่หมายถึงการเสียรายได้มหาศาลของประเทศ โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจของเรากำลังย่ำแย่ ตัวเลขการส่งออกลดลงอย่างน่าใจหาย และยิ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีข่าวบางกระแสระบุเป้าหมายที่“ชาวจีน”ซ้ำด้วยการมีผู้เสียชีวิตต่างชาติเป็นคนจีนมากกว่าประเทศอื่นทำให้ยิ่งน่าเป็นห่วง

000 เพราะกลุ่มทัวร์จีนค่อนข้าง“อ่อนไหว”และขณะเดียวกัน เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีจำนวนมากเป็นอันดับต้นของบ้านเรา ปีละกว่า 4 ล้านคน และในปีนี้ยังทำท่าว่าจะทำสถิติใหม่ด้วยการมียอดนักท่องเที่ยวทะลุ 5 ล้าน ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้เสียก่อน

000 รวมไปถึงผลกระทบตลาดหุ้นไทย ที่ปรับตัวลดลงจากปัจจัยลบหลักในเหตุการณ์ระเบิดที่เกิดขึ้น และผลที่ลามเป็นลูกโซ่ไปถึงการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทยโดยรวม ก็ส่งผลถึงให้เงินบาทอ่อนค่าลงไปอีก ซึ่งต้องรอดูในระยะสั้นนี้ว่ารัฐบาลจะสร้างความเชื่อมั่นกลับคืนมาได้เร็วมากน้อยแค่ไหน

000 ว่ากันว่าในเช้ารุ่งขึ้นจากวันเกิดเหตุ หน่วยงานความมั่นคงได้รายงานสถานการณ์ต่อนายกรัฐมนตรี พุ่งเป้าไปที่ประเด็นปัญหาการส่งกลับ ผู้อพยพอุยกูร์ที่มีความไม่พอใจทั้งนโยบายของรัฐบาลไทยและทางการจีน จนเกิดเหตุเผาสถานทูตไทยในตุรกีมาแล้ว แต่“ข้อสันนิษฐานเดียว”นั้น ก็ถูกตีกลับให้ไปสอบสวนให้รอบด้าน เพราะจริงๆ แล้วหลายฝ่ายก็เห็นตรงกันว่ากลุ่มคนดังว่าไม่น่าจะมี“ศักภาพ”มากพอ   

000 อย่างไรก็ดีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังต้องรอผลการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ รอดูผลจากกล้องวงจรปิดที่จับภาพชายต้องสงสัยในชุด“เสื้อเหลือง”เอาไว้ได้ ต้องขอให้เจ้าหน้าที่จับตัวคนร้าย สาวไปได้ถึงคน“บงการ”เพื่อเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมาได้ในเร็ววัน และต้องขอให้ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหายป่วยโดยเร็ว

000 อย่างไรก็ตามในสถานการณ์เศร้าสลดยังมีเรื่องดีงามที่สะท้อนให้เห็นน้ำใจคนไทย จากภาพที่ผู้คนจำนวนมากพากันไปวางดอกไม้ ไว้อาลัยกับผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุทั้งที่ไม่ใช่ญาติ ขณะเดียวกันมีประชาชนอีกจำนวนมากพากันไป “บริจาคโลหิต” ที่สภากาชาดไทย เพราะหวังเป็นส่วนหนึ่งที่ได้มีโอกาสช่วยเหลือ ทั้งที่สภากาชาดไทยเองก็ยืนยันว่า“เลือด”ไม่ได้ขาดแคลน !!!

 .............................

อัชชาวดี [email protected]