ธุรกิจโรงแรมยังน่าลงทุนอยู่หรือไม่

ในขณะนี้ภาคการท่องเที่ยวดูเหมือนจะเป็นลูกสูบเศรษฐกิจเดียวที่ทำงาน ธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจึงดูเหมือนจะน่าสนใจ
เพื่อตอบคำถามนี้ กองประสานการลงทุน ททท.จึงมอบหมายให้ผู้เขียนและคณะตอบคำถามดังต่อไปนี้คือ (1) ธุรกิจโรงแรมในประเทศไทยมีอัตรากำไรดีหรือไม่ และแตกต่างจากธุรกิจอื่นๆ ในตลาดหลักทรัพย์อย่างไร (2) โรงแรมแบรนด์ดังนานาชาติหรือที่เราเรียกกันว่าโรงแรมเชนนั้นลงทุนที่ไหนในอาเซียน วันนี้เรามาดูคำตอบที่ รศ.ดร.อรุณี อินทรไพโรจน์ เป็นผู้ทำการรวบรวมข้อมูลมา
จากการศึกษาผลประกอบการของธุรกิจที่พักและโรงแรมทั้งในประเทศไทยทั้งสิ้น 4,870 ราย พบว่า ธุรกิจที่พักและโรงแรมในประเทศไทยยังเป็นธุรกิจที่ลงทุนได้ เมื่อพิจารณาจากตัวชี้วัดหลักด้านอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญซึ่งสรุปได้ดังนี้
1.จำนวนธุรกิจที่พักและโรงแรมส่วนใหญ่ยังมีสภาพคล่องที่ดี มีค่าอัตราส่วนทุนหมุนเวียนเท่ากับ 1 หรือมากกว่า
2.อัตราผลตอบกำไรขั้นต้นอยู่ในระดับดี กำไรขั้นต้นของผู้ประกอบการส่วนใหญ่อยู่ที่ประมาณ ร้อยละ 20-100 อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรสุทธิยังมีค่าติดลบ หรือไม่เกินร้อยละ 20
3.อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์รวม (ROA) มีค่าติดลบ และไม่เกินร้อยละ 20 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอุตสาหกรรมนี้ยังต้องเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานอีกมาก
จากผลการวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงิน เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับผลประกอบการของบริษัทที่เป็นสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งแบ่งประเภทของสถานประกอบการเป็น 8 รายอุตสาหกรรม ได้แก่ ธุรกิจการเงิน, ทรัพยากร, อสังหาริมทรัพย์, ก่อสร้าง, บริการ, เทคโนโลยี, สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร และอุตสาหกรรมอาหารสินค้าอุปโภคบริโภค พบว่า ผลการประกอบการในอุตสาหกรรมโรงแรมด้านกำไรขั้นต้น (ร้อยละ 44.33) สูงกว่าค่าเฉลี่ยของ 8 อุตสาหกรรม (ร้อยละ 18.44) แต่อัตราส่วนแสดงประสิทธิภาพในการทำงาน (Efficiency Ratio) สถานประกอบการโรงแรมมีค่า ROA ต่ำกว่า (ร้อยละ -5.23) ขณะที่ค่าเฉลี่ยของทุกอุตสาหกรรมเท่ากับร้อยละ 3.13 ซึ่งก็ไม่ได้สูงมากนัก แต่คนทั่วไปก็เล่นหุ้นกันจัง
จากการเปรียบเทียบผลประกอบการของธุรกิจโรงแรมแยกตามรายจังหวัด (ตารางที่ 2) พบว่าค่าเฉลี่ยอัตรากำไรขั้นต้น เท่ากับร้อยละ 44.33 ค่าเฉลี่ยอัตรากำไรสุทธิ (ขาดทุน) เท่ากับร้อยละ (-20.87) ค่าเฉลี่ยอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์รวม (ROA) เท่ากับร้อยละ (-5.23) จังหวัดท่องเที่ยวหลักที่มีผลประกอบการสูงได้แก่ ชลบุรี ตรัง พังงา สงขลา กระบี่ ประจวบคีรีขันธ์ สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต กรุงเทพมหานคร เชียงราย และเชียงใหม่ ตามลำดับ
สำหรับผลประกอบการของธุรกิจโรงแรมในประเทศไทยแยกตามขนาด ไม่พบความแตกต่างที่มีนัยสำคัญ โดยค่าเฉลี่ยอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจขนาดเล็กเท่ากับร้อยละ 45.15 ขนาดกลางเท่ากับร้อยละ 41.58 และขนาดใหญ่เท่ากับร้อยละ 45.82
การวิเคราะห์ความน่าลงทุนจากการกระจายตัวของโรงแรมเครือข่าย (Chain Hotel) และแบรนด์ต่างๆ จำนวน 20 กลุ่มโรงแรมเชนหลัก ประกอบด้วย 128 แบรนด์ ในกลุ่มประเทศอาเซียน และจีน มีจำนวนรวม1,393 แห่ง พบว่าประเทศไทยมีจำนวนโรงแรมเชนมากที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียนบวก 1 โดยมีจำนวน 294 แห่ง รองจากจีน (779 แห่ง) รองลงมาได้แก่ อินโดนีเซีย (134 แห่ง) มาเลเซีย (62 แห่ง) เวียดนาม (43 แห่ง) ตามลำดับ
ในประเทศไทยโรงแรมเชนจะกระจุกตัวอยู่ตามเมืองท่องเที่ยวหลัก และจังหวัดที่มีศักยภาพรวม 27 จังหวัด เป็นจังหวัดน่าลงทุนที่สำคัญ 7 แห่ง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร (99 แห่ง) คิดเป็นร้อยละ 33.67 ภูเก็ต (49 แห่ง) พัทยา ชลบุรี (29 แห่ง) เกาะสมุย สุราษฎร์ธานี (27 แห่ง) เชียงใหม่ (21 แห่ง) หัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ (18 แห่ง) กระบี่ (11 แห่ง) และต่อมาได้กระจายออกไปสู่จังหวัดที่มีศักยภาพอีก 20 จังหวัด ยกตัวอย่างเช่น ระยอง ขอนแก่น นครราชสีมา บุรีรัมย์ พิษณุโลก เลย แม่สอด (ตาก) และอุดรธานี เป็นต้น
สรุปได้ว่า หากมีการบริหารจัดการที่ดีเช่นเดียวกับโรงแรมในตลาดหลักทรัพย์ ธุรกิจโรงแรมก็คงเป็นธุรกิจที่พอไปได้ การลงทุนในธุรกิจโรงแรมดูเหมือนจะเป็นการลงทุนเพิ่มมูลค่าให้กับอสังหาริมทรัพย์ที่มีอยู่แล้วของผู้ประกอบการ แม้ว่ากำไรสุทธิอาจไม่สูงแต่ได้ดีตอนขายที่และทรัพย์สิน!!!







