กันชนรัฐวิสาหกิจ

เหลือเวลาไม่ถึง 2 เดือน ร่างพระราชบัญญัติกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ ที่ยกร่างโดยคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.)
หรือซูเปอร์บอร์ด จะถูกผลักดันเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อให้มีผลบังคับใช้ในช่วงต้นปี 2559
หลักใหญ่ของกฎหมายฉบับนี้ อยู่ที่การเปลี่ยนโครงสร้างการกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจของประเทศ เพื่อแยกบทบาทที่เกี่ยวข้องออกจากกัน ทั้งส่วนของฝ่ายนโยบาย ส่วนเจ้าของ การกำกับดูแล และการดำเนินงาน เพื่อความโปร่งใส และผลักดันการเพิ่มประสิทธิภาพของรัฐวิสาหกิจ
การกำกับรัฐวิสาหกิจแบ่งเป็น 2 ส่วนสำคัญ คือ การกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจโดยรวม ตั้งแต่กระบวนการแต่งตั้งกรรมการ การเปิดเผยข้อมูล และกระบวนการตรวจสอบการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจ ส่วนที่สอง คือ การตั้งบรรษัทวิสาหกิจแห่งประเทศ เป็นองค์ใหม่ที่จะเข้ามาทำหน้าที่เป็นเจ้าของรัฐวิสาหกิจที่อยู่ในรูปบริษัทเอกชน ทั้งบริษัทจำกัด และบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ รวม 12 แห่ง
นอกจากการแยกบทบาทการกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจแล้ว กฎหมายฉบับนี้ จะมีการสร้างเกราะป้องกัน หรือ วางระบบที่เป็น”กันชน” ให้กับรัฐวิสาหกิจ เพื่อไม่ให้ฝ่ายนโยบาย โดยเฉพาะฝ่ายการเมืองเข้ามาใช้รัฐวิสาหกิจเป็นเครื่องมือหาผลประโยชน์ให้กับบางกลุ่ม หรือให้รัฐวิสาหกิจดำเนินกิจการที่ไม่ถูกต้อง
กันชน”สำคัญอยู่ที่กระบวนการคัดเลือกกรรมการ เป็นจะใช้กระบวนการสรรหารูปแบบใหม่ จะมีการตั้งคณะกรรมการคัดเลือกขึ้นมา สรรหาบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ มีความเชี่ยวชาญในส่วนที่เป็นประโยชน์กับรัฐวิสาหกิจนั้น และลดสัดส่วนการเป็นกรรมการโดยตำแหน่งลงให้มากที่สุด
เพราะในปัจจุบันต้องยอมรับว่า กรรมการของรัฐวิสาหกิจโดยส่วนใหญ่ หรือแม้แต่ผู้บริหารสูงสุดขององค์กร มักจะเป็นกลุ่มที่ฝ่ายนโยบาย หรือฝ่ายการเมือง ส่งเข้ามา เพื่อให้กำหนดทิศทางการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจ ให้เป็นไปตามที่ฝ่ายการเมืองต้องการ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง หรือเปลี่ยนรัฐมนตรีต้นสังกัด จึงทำให้มีการเปลี่ยนแปลงบอร์ดรัฐวิสาหกิจด้วย แทบทุกครั้ง ทำให้การดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจขาดประสิทธิภาพ และขาดการวางแผนในระยะยาว
กรรมการรัฐวิสาหกิจ ในรูปแบบใหม่ อาจจะได้ค่าตอบแทนที่สูงกว่าอัตราที่ได้รับในปัจจุบัน เพื่อให้ได้คนที่มีความสามารถเข้ามาทำงาน แต่ส่วนสำคัญอีกประการ คือ การกำหนดให้กรรมการของรัฐวิสาหกิจต้องมี “การรับผิดรับชอบ” ในการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจ หากให้รัฐวิสาหกิจดำเนินกิจการที่ไม่เหมาะสม และเกิดความเสียหายให้กับองค์กร ก็ต้องมีบทลงโทษ
ขณะเดียวกัน ในส่วนของบรรษัทวิสาหกิจฯ ที่จะทำหน้าที่เป็นโฮลดิ้ง ถือหุ้นในรัฐวิสาหกิจแทนกระทรวงการคลัง คอยกำกับดูแลการบริหารงานของรัฐวิสาหกิจ 12 แห่งนั้น ยังจะมีเกราะป้องกันอีกชั้น นั่นคือ การวางโครงสร้างองค์กรให้สามารถเลี้ยงตัวเองได้ โดยไม่ต้องพึ่งพางบประมาณภาครัฐ เบื้องต้นอาจจะหักเปอร์เซ็นต์การนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ มาเป็นรายได้ของโฮลดิ้ง ทำให้โฮลดิ้งไม่ต้องเข้าไปของบรัฐ ซึ่งท้ายที่สุดผู้ที่จะพิจารณาอนุมัติก็คือฝ่ายการเมือง
อย่างไรก็ตามกันชน ของรัฐวิสาหกิจ ที่อยู่ในกรอบกฎหมายฉบับใหม่นี้ จะได้ผลมากน้อยเพียงใด คงไม่มีใครตอบได้ แม้แต่กรรมการคนร.ยังยอมรับว่า กฎหมายฉบับนี้อาจจะไม่สามารถป้องกันอำนาจที่ไม่ชอบได้ 100% เพราะสุดท้าย คนที่จ้องหาโอกาส ย่อมหาช่องในการเข้ามาหาประโยชน์ได้ แต่อย่างน้อยก็ช่วยให้การทำเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ทำได้ยากขึ้น







