ปฏิวัติอะไร? ในปฏิวัติวัฒนธรรมจีน (1)

ปฏิวัติอะไร? ในปฏิวัติวัฒนธรรมจีน (1)

หลังจากสาธารณรัฐประชาชนจีนก่อกำเนิดขึ้น เหมาเจ๋อตงซึ่งถือเป็นตัวแทนของคอมมิวนิสต์จีนได้ยึดถือเอาแบบฉบับของสตาลินแห่งสภาพโซเวียต

เป็นพิมพ์เขียวในการสร้างสรรค์ประเทศจีนขึ้นใหม่ ในขณะที่เหมาเจ๋อตงกำลังมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมต่อรูปแบบของสตาลินในการสร้างสรรค์สังคมนิยมของจีนให้ทันสมัย สหภาพโซเวียตภายใต้การนำของครุูสชอฟกลับกำลังเริ่มต้นปฏิเสธแนวทางของสตาลินโดยสิ้นเชิง เหมาเจ๋อตงผู้เดียวเท่านั้นที่กำลังต่อต้านฝ่ายขวา ขยายการต่อสู้ระหว่างชนชั้น ป้องกัน และต่อต้านลัทธิแก้เพื่อปกป้องแนวทางของสตาลิน


ในขณะเดียวกัน หลิวเส้าฉีกับเติ้งเสี่ยวผิงไม่เห็นด้วยกับแนวทางของเหมาเจ๋อตง ดังนั้น จุดเน้นของเหมาเจ๋อตงจึงอยู่ที่การป้องกันและต่อต้านลัทธิแก้ ในการประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์สมัยที่ 8 ครั้งที่ 7 เหมาเจ๋อตงได้แถลงถึงความจำเป็นในการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่คณะกรรมการโปลิตบูโรและการเป็นผู้นำของเขาในสำนักงานเลขานุการกลางของพรรค วันที่ 2 กรกฎาคม 1959 ที่ประชุมได้ผ่านมติ “การต่อสู้เพื่อปกป้องแนวทางโดยรวมของพรรคและการต่อต้านลัทธิฉวยโอกาสฝ่ายขวา” และ “ความผิดพลาดของกลุ่มต่อต้านพรรคอันมีเผิงเต๋อไหวเป็นผู้นำ”


ในปี 1958 เหมาเจ๋อตงพยายามรณรงค์และจัดการประชุมสัมมนาเรื่อง “ปัญหาเศรษฐกิจของสังคมนิยมโซเวียต” และการศึกษา “หนังสือแบบเรียนเศรษฐศาสตร์การเมือง” แต่ในปี 1959 หลิวเส้าฉีจัดการสัมนาและชี้ให้เห็นถึงข้อบกพร่องของหลักการในหนังสือแบบเรียนเศรษฐศาสตร์การเมือง


ปี 1958 เป็นปีที่เริ่มต้นนโยบาย “ก้าวกระโดด” แต่เศรษฐกิจของประเทศกลับเข้าสู่ภาวะยากลำบากอย่างรุนแรง คณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้จัดการประชุมระดมสมองเพื่อแก้ไขปัญหาในที่ประชุม เหมาเจ๋อตงยังคงยืนยันในความสำคัญของมวลชนและอันตรายของการฟื้นคืนชีพของลัทธิทุนนิยม แต่หลิวเส้าฉีชี้ให้เห็นถึงข้อบกพร่องและข้อผิดพลาดในการทำงานของส่วนกลาง และนำไปสู่ความพยายามในการปรับเปลี่ยนกลไกของการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ
วันที่ 24 กันยายน 1962 ในการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีนสมัยที่ 8 และการประชุมคณะกรรมการกลางครั้งที่ 10 มีขึ้นที่ปักกิ่ง เหมาเจ๋อตงได้ปราศรัยและเน้นย้ำถึงความขัดแย้งภายในพรรคกับโอกาสการฟื้นคืนชีพของชนชั้นนายทุน ในที่สุดมีการบันทึกและประกาศไว้ในแถลงการณ์ของการประชุมอันเป็นสิ่งที่ชี้ถึงการยึดมั่นกับความคิดของตนเอง

ความคิดนี้นำไปสู่การเริ่มต้นปฏิบัติการของการปฏิวัติวัฒนธรรมในปี 1965 ด้วยการชี้แนะของเหมาเจ๋อตง และการวางแผนของเจียงชิงภรรยา เอี๋ยวเหวินเหวียนได้เสนอบทความเรื่อง “บทวิเคราะห์ละครประวัติศาสตร์ยุคใหม่ <การปลดไห่รุ่ย>” ( 评新编历史剧《海瑞罢官》) อันเป็นการแดกดันเผิงเต๋อไหวที่เขียนจดหมายถึงเหมาเจ๋อตง วิจารณ์นโยบายก้าวกระโดดว่าเป็นพวกจอมปลอม ไม่ใช่จริงใจ สื่อสิ่งพิมพ์ของทางการอีกหลายฉบับก็สื่อใจความในทำนองเดียวกัน
ในเดือนกุมภาพันธ์ 1966 เผิงเจิน กรรมการโปลิตบูโรและเลขาธิการอันดับ 1 ของคณะกรรมการกรุงปักกิ่งได้จัดตั้งคณะทำงาน 5 คน เพื่อพยายามศึกษาเชิงวิชาการ และจัดทำข้อเสนอในการจำกัดแนวโน้มฝ่ายซ้ายที่กำลังรุนแรงขึ้นทุกขณะเรียกว่า “ข้อเสนอเดือนกุมภาพันธ์”


วันที่ 16 พฤษภาคม 1966 คณะกรรมการโปลิตบูโรของพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ผ่านสิ่งที่เรียกว่า “ประกาศ 16 พฤษภา” อันมีใจความว่า กลุ่มทุนนิยมภายในพรรคกำลังจะช่วงชิงอำนาจและแทรกซึมไปทั่วทุกหน่วยงานรัฐ แต่ประกาศนี้ถือเป็นเอกสารลับเฉพาะผู้นำระดับ 17 ขึ้นไปเท่านั้น


ขณะเดียวกัน หลินเปียวพยายามยกย่องงานนิพนธ์ของเหมาเจ๋อตงและหาทางให้กระทรวงศึกษาธิการบรรจุแนวคิดของเหมาเจ๋อตงไว้ในวิชาภาษาจีน ประวัติศาสตร์ และการเมือง ในชั้นเรียนต่างๆ ต่อมามีหนังสือพิมพ์ขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งเป็นฉบับแรก วิจารณ์คณะกรรมการมหาวิทยาลัยและกรุงปักกิ่ง เหมาเจ๋อตงยังยกย่องว่าเป็นหนังสือพิมพ์ขนาดใหญ่เกี่ยวกับลัทธิมาร์คและเลนินเป็นฉบับแรก ในเดือนเดียวกันมีการจัดตั้งคณะทำงานกลุ่มย่อยเกี่ยวกับการปฏิวัติวัฒนธรรม ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน โดยมีเจียงชิงเป็นหัวหน้าและเข้ายึดกองบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์เหรินหมินเยอะเป้า พร้อมทั้งรณรงค์ให้มีการล้มล้างฝ่ายนิยมลัทธิทุนนิยมให้หมด

นอกจากนี้ ยังมีการจัดตั้งเรดการ์ดกลุ่มแรกที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยชิงหัว อันนำมาซึ่งการจัดตั้งเรดการ์ดในโรงเรียนทั่วประเทศ และแต่ละแห่งล้วนแต่ทำการโจมตีผู้บริหารและคณาจารย์ในโรงเรียน ฝ่ายหลิวเส้าฉี โจวเอินไหล เติ้งเสี่ยวผิง เถาจู้และเฉินป๋อต๋า มีแนวคิดจัดตั้งกลุ่มทำงานตามวิธีการของพรรคคอมมิวนิสต์ ในการจัดการกับที่ที่มีปัญหา แต่กลับถูกกล่าวหาว่าเป็นการปราบปรามนักเรียน เรดการ์ดยังได้เขียนจดหมายถึงเหมาเจ๋อตงว่า “การกบฎมีเหตุผล” ซึ่งเหมาเจ๋อตงก็เห็นด้วย


ในการประชุมคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนสมัยที่ 8 ครั้งที่ 11 เดือนสิงหาคม 1966 เหมาเจ๋อตงได้กล่าวสนับสนุนเรดการ์ด และตำหนิกลุ่มทำงานของพรรคว่า เป็นพวกที่ยืนอยู่ข้างชนชั้นนายทุน การประชุมยังได้ยืดออกไปจากกำหนดการ โดยมีเนื้อหาวิพากษ์หลิวเส้าฉีและเติ้งเสี่ยวผิง หลังจากที่เหมาเจ๋อตงได้เขียนวลีไว้ที่มุมหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งว่า “กระบอกปืนหันไปยิงกองบัญชาการ” ในที่สุดที่ประชุมได้ผ่าน “การตัดสินใจเกี่ยวกับการปฏิวัติวัฒนธรรมชนชั้นกรรมาชีพของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน” ซึ่งหมายถึง การปฏิวัติวัฒนธรรมชนชั้นกรรมาชีพได้เริ่มต้นอย่างเต็มรูปแบบ โดยมีจุดมุ่งหมาย “เอาชนะพวกอยู่ในอำนาจที่ยึดถือแนวทางทุนนิยม และวิพากษ์อิทธิพลวิชาการปฏิกริยาของชนชั้นนายทุน” อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมได้แต่งตั้งเหมาเจ๋อตง หลินเปียว โจวเอินไหล เถาจู้ เฉินป๋อต๋า เติ้งเสี่ยวผิง จูเต๋อ หลี่ฟู่ชุน เฉินหวิน รวม 11 คน เป็นกรรมการโปลิตบูโร หลินเปียวจึงกลายเป็นบุคคลอันดับสองในพรรคคอมมิวนิสต์จีนอย่างรวดเร็ว และยังกลายเป็นรองประธานคณะกรรมการกลางพรรคฯ เพียงหนึ่งเดียวหลังจากนั้น ซึ่งหมายถึงกลายเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งของเหมาเจ๋อตงไปโดยปริยาย


เรดการ์ดเริ่มเติบใหญ่ การเปิดเรียนปีการศึกษาใหม่เลื่อนออกไป 6 เดือน การสอบเข้ามหาวิทยาลัยถูกยกเลิก ทำให้มหาวิทยาลัยรับนักศึกษาใหม่ไม่ได้กว่า 10 ปี เรดการ์ดทั่วประเทศต่างเข้ามาชุมนุมกันในกรุงปักกิ่ง โดยที่รัฐบาลเป็นผู้รับภาระการเดินทางและการกินอยู่ เหมาเจ๋อตงและหลินเปียวให้เรดการ์ดเข้าพบที่จตุรัสเทียนอันเหมิน ต่างกรรมต่างวาระเป็นจำนวนกว่า 10 ล้านคน ถึงขนาดที่ประดับปลอกแขนให้ด้วยตนเอง อันเป็นการแสดงถึงการสนับสนุนที่ชัดเจนที่สุด ความเหิมเกริมของเรดการ์ดนำความวุ่นวายมาสู่ทั่วท้้ังประเทศ มีการแจกใบปลิว ติดหนังสือพิมพ์ขนาดใหญ่ เขียนคำขวัญ ทำลายศาลเจ้า โบราณวัตถุและโบราณสถาน เผาหนังสือโบราณ ค้นบ้านเรือน และหยิบฉวยทรัพย์สินโดยพลการ ทุบตีทรมานทำร้ายแม้กระทั่งทำให้เสียชีวิตกับฝ่ายที่ถูกมองว่าเป็นฝ่ายตรงกันข้าม
ในการประชุมคณะกรรมการกลางพรรคฯ เดือนตุลาคม 1966 หลิวเส้าฉีและเติ้งเสี่ยวผิงถูกชี้ว่าเป็นตัวแทนของ “แนวทางปฏิกริยาชนชั้นนายทุน” และให้พิจารณาวิจารณ์ตนเอง แต่ทั้งสองก็ยังคงเป็นกรรมการโปลิตบูโรและอยู่ในตำแหน่งบริหารในรัฐบาลเหมือนเดิม เพียงแต่ถูกโจมตีอย่างกว้างขวางว่าเป็นพวก “ยึดถือแนวทางทุนนิยม” ทั่วทุกหนแห่ง


ณ ปลายปี 1966 เรดการ์ดที่เคยประกอบด้วยนักเรียนล้วนๆ เริ่มขยายไปสู่โรงงานและไร่นา หวังหงเหวินเป็นหัวแรงจัดตั้งเรดการ์ดจากคนงานในเซี่ยงไฮ้ นอกจากเหมาเจ๋อตงจะแสดงการชมเชยแล้ว หน่วยงานรัฐบาลจำนวนมากต่างส่งสาส์นแสดงความยินดี หลังจากขึ้นปีใหม่ 1967 แล้ว เหมาเจ๋อตงได้เสนอให้กองทัพปลดแอกประชาชนสนับสนุนการปฏิวัติของมวลชนฝ่ายซ้าย และกล่าวว่าการปฏิวัติวัฒนธรรมเป็นหน้าที่ของทุกภาคส่วน ตั้งแต่พรรค กลุ่ม รัฐบาล กองทัพ และอื่นๆ ทั้งหมด ในการยึดอำนาจทั้งประเทศ ขณะเดียวกัน เฉินป๋อต๋ากับเจียงชิงเริ่มพุ่งเป้าไปที่บุคคลอันดับ 4 ภายในพรรคซึ่งก็คือ โจวเอินไหล แต่ถูกตำหนิจากเหมาเจ๋อตง เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้อาวุโสภายในพรรคต่างถือโอกาสออกมาโจมตีเฉินกับเจียงด้วย ส่วนเรดการ์ดกลุ่มต่างๆ ก็เริ่มมีความขัดแย้งกัน บางส่วนถึงขั้นแย่งชิงปืนจากฝ่ายทหาร


ปี 1967 เป็นปีที่มีการพุ่งเป้าหมายไปที่การโจมตีหลิวเส้าฉีเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีหนังสือ “ว่าด้วยการบำเพ็ญตนของสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์” ของเขาทั้งโดยหนังสือพิมพ์เหรินหมินเยอะเป้าและคณะกรรมการกลางพรรคฯ เอง ในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในแง่ที่มีจุดประสงค์มุ่งร้ายต่อแนวคิดและต่อตัวเหมาเจ๋อตง ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดที่ต่อต้านฝ่ายซ้ายในพรรค หรือ ไม่ว่าจะเป็นการกล่าวหาว่าฝักใฝ่ลัทธิทุนนิยม


พอเข้าปี 1968 กระแสการบูชาเหมาเจ๋อตงอย่างมืดบอดแพร่กระจายไปทั่วประเทศ จนกระทั่งเหมาเจ๋อตงเหมือนกับเป็นเทพเจ้า ตัวเหมาเจ๋อตงเองก็เริ่มรู้สึกว่าเหตุการณ์บานปลายเกินกว่าการควบคุม การต่อสู้ด้วยกำลังทั่วประเทศเป็นไปอย่างรุนแรง ผู้ที่ถูกทำร้ายถึงบาดเจ็บและเสียชีวิตมีจำนวนนับไม่ถ้วน คณะกรรมการกลางพรรคฯ จึงจัดส่ง “กลุ่มทำงาน” จากพรรคไปประจำตามโรงเรียนต่างๆ เพื่อควบคุมความเคลื่อนไหวให้อยู่ภายในกรอบ ซึ่งที่จริงแล้ว ก็เป็นวิธีการเดียวกับที่หลิวเส้าฉีเคยทำ เรดการ์ดบางส่วนต่อต้านและทำร้ายกลุ่มทำงานจนเสียชีวิต จนเหมาเจ๋อตงต้องออกคำสั่งเด็ดขาดว่า กลุ่มทำงานจะต้องเป็นส่วนหนึ่งของการวิพากษ์ตลอดไป เหตุการณ์จึงได้สงบลง