เมื่ออองซานซูจีทิ้งไพ่ใบสำคัญ :

: ฤาเธอต้องคว่ำบาตรเลือกตั้งอีกครั้ง?
เธอเงียบมาระยะหนึ่ง ผมรอให้เธอประกาศจุดยืนประเด็นการเมือง เรื่องเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในปลายปีนี้ และเธอก็แจ้งให้ทราบแล้ว
นั่นคือ การคว่ำบาตรการเลือกตั้งอาจจะเป็น “ทางเลือกทางหนึ่ง” ของพรรค NLD ของเธอ
โดยเฉพาะถ้าหากกองทัพพม่าไม่ยอมแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ไม่ให้เธอสมัครตำแหน่งประธานาธิบดีก่อนที่จะจัดให้มีการเลือกตั้งครั้งใหม่
ท่ามกลางข่าวลือว่าทหารพม่าอาจตัดสินใจเลื่อนการเลือกตั้งที่เดิมจะจัดให้มีขึ้นในเดือนพฤศจิกายน
หากข่าวลือเป็นจริง กระบวนการเข้าสู่ประชาธิปไตยของพม่าที่เคยสร้างความหวังไว้ค่อนข้างจะเรืองรองก็จะดำมืดลงไปอีกครั้งหนึ่ง
อองซานซูจี ปีนี้อายุ 69 แม้ถ้าได้เป็นประธานาธิบดีเธอก็จะเข้าสู่วัย 70 ซึ่งก็ย่อมเป็นการท้าทายสำหรับหญิงเหล็กแห่งเอเซียคนนี้อย่างยิ่ง
แต่เธอก็ยืนหยัดต่อสู้เพื่อให้บ้านเกิดเมืองนอนของเธอได้กลับเข้าสู่ความเป็นประชาธิปไตย ยกระดับความเป็นอยู่ของคนพม่าให้ทัดเทียมกับเพื่อนบ้านทั้งหลาย
อองซานซูจี บอกสำนักข่าวรอยเตอร์ส์วันก่อนว่าพรรค National League for Democracy (NLD) พร้อมจะปกครองประเทศ แต่ประธานาธิบดีเต็งเส่ง “ไม่จริงใจ” ในการปฏิรูปประเทศและอาจเลื่อนการเลือกตั้งไปได้
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอออกมาพูดในที่สาธารณะตั้งคำถามเกี่ยวกับความจริงใจของเต็งเส่ง เพราะก่อนหน้านี้เธอพยายามจะประคองสถานการณ์ของประเทศ และรักษาความสัมพันธ์กันเต็งเส่งเพื่อนำประเทศไปสู่การเลือกตั้งที่สะท้อนถึงความต้องการของประชาชนคนพม่าอย่างแท้จริง
แต่ดูเหมือนว่าอองซานซูจีจะทิ้งไพ่ใบสำคัญแล้วหลังจากที่พยายามกดดันให้กองทัพยอมแก้รัฐธรรมนูญเพื่อเลิกเงื่อนไขที่บอกว่าใครมีสามีหรือภรรยาเป็นต่างชาติไม่อาจจะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีได้
เพราะนั่นคือความจงใจของทหารในยุคก่อนที่จะสกัดกั้นไม่ให้เธอขึ้นมาบริหารประเทศ
เดิมเข้าใจกันว่าการที่ฝ่ายทหารยอมจับมือกับเธอเพื่อเปิดประเทศนั้นย่อมมีความเข้าใจตรงกันว่าจะต้องแก้รัฐธรรมนูญประเด็นนี้ รวมถึงเงื่อนไขเรื่อง “โควต้าที่นั่งในสภาให้กับกองทัพ” ที่กำหนดไว้อย่างน้อย 25% ในขณะนี้
แต่ยิ่งใกล้วันเลือกตั้งก็ยิ่งมีสิ่งบอกเหตุที่ไม่น่าไว้วางใจ ถึงขั้นที่เธอออกมาให้สัมภาษณ์อย่างขึงขังเป็นครั้งแรกว่า
เธออาจจะคว่ำบาตรการเลือกตั้ง
ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ย่อมแปลว่าสิ่งที่ได้ปูทางเอาไว้ และมีผลทำให้ต่างประเทศโดยเฉพาะตะวันตกเข้ามาช่วยเหลือด้วยเงินทองและด้านอื่น ๆ เพื่อให้พม่าลุกขึ้นเดินบนเส้นทางประชาธิปไตยนั้นกำลังจะกลายเป็นหมัน
อองซานซูจี ใช้คำว่า “Thein Sein’s hardline regime” ซึ่งแปลว่า รัฐบาลภายใต้การนำของเต็งเส่งยังมีแนวทาง “แข็งกร้าว” ซึ่งหมายถึงการไม่ยอมก้าวเข้าสู่ประชาธิปไตยจริง ๆ ยังหวงอำนาจของกองทัพแบบเดิมอยู่
แต่เธอก็ยอมรับว่าการคว่ำบาตรการเลือกตั้ง “ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด” “แต่เราก็ไม่ได้ปิดทางเลือกนั้น เราพร้อมจะพิจารณาทุกทางออก”
หมายความว่าหากจำเป็นเธอก็อาจจะต้องกลับไปใช้อาวุธ “ขัดขืนอารยะ” อย่างที่เธอใช้ในการต่อสู้ทางการเมืองมาตลอดชีวิต จนเธอถูกทหารพม่ากักบริเวณถึง 15 ปีก่อนที่จะได้รับการปล่อยตัวเมื่อปี 2010 หรือเมื่อ 4 ปีก่อนหลังจากรัฐบาลทหารพม่ายอมผ่อนคลายเพื่อแลกกับการยอมรับของโลกตะวันตก
เธอยืนยันว่าการเลือกตั้งทั่วไปที่กำหนดไว้สำหรับเดือนพฤศจิกายนนั้นมีความสำคัญมากเพราะมันเป็นการทดสอบว่าพม่าจะเดินไปสู่เส้นทางประชาธิปไตยจริงๆ หรือไม่
พรรคของเธอชนะการเลือกตั้งทั่วไปอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งครั้งใหญ่เมื่อปี 1990 แต่กองทัพพม่าไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งครั้งนั้น
ต่อมาในปี 2010 พรรคของเธอประกาศคว่ำบาตร ไม่ยอมเข้าร่วมเพราะมีการโกงกันอย่างกว้างขวาง
เลือกตั้งครั้งนั้นทำให้นายพลเต็งเส่งได้ขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ และตามมาด้วยการปฏิรูปทางการเมืองหลายด้าน
อองซานซูจีบอกว่า เต็งเส่ง มีความจริงใจในการปฏิรูปจากการพบปะกันเมื่อปี 2011 “แต่เดี๋ยวนี้ เต็งเส่งไม่จริงใจ เพราะถ้าเขาจริงใจ, พม่าก็คงจะก้าวไปไกลมากกว่านี้แล้ว”
เธอบอกว่า เต็งเส่งอาจจะอ้างการเจรจาสงบศึกกับชนกลุ่มน้อยเพื่อเลื่อนการเลือกตั้ง
การทิ้งไพ่ใบสำคัญของอองซานซูจีครั้งนี้ผมถือว่าเป็นเกมที่เล่นแรงเพื่อเขย่ากองทัพพม่า ซึ่งยังพยายามรักษาฐานอำนาจทางการเมืองอยู่
แม่ทัพนายกองของพม่าไม่กล้าเผชิญหน้าโดยตรงเพราะกลัวว่าหากประตูที่แง้มเปิดออกมาถูกปิดอีกครั้ง, อะไรๆ ที่ทำท่าจะไปดีก็จะกลับไปสู่ภาวะมืดมนแบบเก่า
อีกทั้งอองซานซูจีรู้ว่ามาถึงจุดนี้ พม่าถอยกลับไปเหมือนเดิมไม่ได้แน่นอน แต่เธอก็จะไม่ยอมให้กองทัพเตะถ่วงเพื่อรักษาผลประโยชน์เดิมๆ
เพราะนั่นเท่ากับหักหลังประชาชนคนพม่าเอง และสร้างความผิดหวังให้ประชาคมโลกอย่างใหญ่หลวง
จังหวะก้าวเดินเพื่อนบ้านด้านตะวันตกล่าสุดครั้งนี้ พลาดสายตาไม่ได้เลย







