เรื่องเล่าจากอีกด้านของ ‘ฟุกุชิมะ’

เรื่องเล่าจากอีกด้านของ ‘ฟุกุชิมะ’

โศกนาฏกรรมโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไดอิชิที่ฟุกุชิมะในเดือนมีนาคม ปี 2554 เกิดจากพลังทำลายล้างอันมหาศาลของสึนามิที่ซัดเข้ามาใส่ตัวโรงงาน

ว่ากันว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นรองแค่การระเบิดของโรงไฟฟ้าเชอร์โนบิลแต่ที่ไม่ค่อยมีคนรู้คือโรงไฟฟ้าฟุกุชิมะไดนิซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลทางใต้ของโรงไฟฟ้าฟุกุชิมะไดอิชิประมาณ 10 กิโลเมตร สามารถเอาตัวรอดจากหายนะครั้งนี้ได้ ไม่ใช่เพราะปาฏิหาริย์ แต่เป็นเพราะการร่วมมือร่วมใจกันของทีมงาน


ปกติแล้ว เวลาเกิดวิกฤติ คนที่เป็นหัวหน้ามักจะบอกให้ทุกคนใจเย็นๆ อย่าตกใจ ให้คำรับรองว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี แต่สิ่งที่ นาโอะฮิโร่ มะซุดะ ผู้จัดการโรงไฟฟ้าฟุกุชิมะไดนิทำกลับตรงกันข้ามกันโดยสิ้นเชิง แทนที่จะปลอบใจลูกน้อง เขาปล่อยให้ลูกน้องตกใจเสียให้พอ ตกใจเสร็จแล้วจะได้มาช่วยกันแก้ปัญหา


กุศโลบายในการดึงลูกน้องจากความตกใจมาสู่การร่วมใจกันในครั้งนี้ ถือว่าเป็นกลยุทธ์การบริหารในภาวะวิกฤติที่เฉียบคมเป็นอย่างยิ่ง


วันที่ 11 มีนาคม 2554 มะซุดะได้รับการแจ้งเดือนว่าเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงมากในทะเลห่างออกไปประมาณ 70 กิโลเมตร อาจก่อให้เกิดสึนามิขนาด 3 ถึง 4 เมตรได้ เขาจึงสั่งให้ปิดเตาปฏิกรณ์ทั้ง 4 ตัว พร้อมกับสั่งลูกน้องทั้งหมดมารวมตัวกันที่จุดรวมพลฉุกเฉิน


เขาค่อนข้างมั่นใจว่า โรงไฟฟ้าจะปลอดภัย เพราะมันถูกออกแบบมาให้รับมือกับสึนามิขนาด 5.2 เมตรได้อย่างสบายๆ แต่เพื่อความไม่ประมาท เขามอบหมายให้ลูกน้องไปยังจุดสังเกตการณ์เพื่อประเมินสึนามิที่กำลังเข้ามา


ระหว่างนั้นเอง ศูนย์เตือนภัยสึนามิก็แจ้งเข้ามาว่าสึนามิอาจมีขนาดสูงถึง 6 เมตร และเพียงไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ก็แจ้งกลับมาว่า ให้ชาวฟุกุชิมะเตรียมตัวรับมือกับผลกระทบที่รุนแรง เพราะขณะนี้สึนามิที่พุ่งเข้ามาหาฝั่งมีความสูงกว่า 10 เมตรแล้ว การสังเกตด้วยสายตาก่อนที่สึนามิจะซัดเข้าใส่โรงไฟฟ้าแห่งนี้ คาดว่าจะมีความสูงไม่น้อยกว่า 17 เมตร


ข้อมูลใหม่นี้ทำให้ทุกคนที่จุดรวมพลรู้ว่า “งานเข้า” แน่นอน เพราะระบบน้ำหล่อเย็นของเตาปฏิกรณ์อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลแค่ 4 เมตร เตาปฏิกรณ์เองก็สูงกว่าระดับน้ำทะเลเพียง 12 เมตร ทั้งสี่เตาตั้งเรียงกันตามแนวฝั่งทะเล นั่นหมายความว่า ทุกเตาจะโดนคลื่นซัดพร้อมกันแบบเต็มๆ


การปิดเตาปฏิกรณ์ไม่เหมือนการปิดเตาแก๊ส ที่ปิดปุ๊บก็ดับปั๊บ การปิดเตาปฏิกรณ์ต้องค่อยๆ ลดความร้อนลงทีละน้อย และต้องมีน้ำหล่อเย็นคอยรักษาอุณหภูมิของแกนกลางของเตาปฏิกรณ์ไม่ให้ร้อนเกินไปอยู่ตลอดเวลา นั่นหมายความว่า แม้จะปิดเตาแล้ว ก็ยังจะต้องปั๊มน้ำเข้าไปหล่อเลี้ยงไม่ให้แกนของเตาปฏิกรณ์ร้อนจนเกินไป ไม่งั้นจะเกิดการหลอมละลายจนสร้างความเสียหายให้กับเตาปฏิกรณ์ได้ระบบน้ำหล่อเลี้ยงนี้ ทำงานด้วยปั๊มไฟฟ้า ดังนั้น ไฟฟ้าจึงเป็นจุดชี้เป็นชี้ตายในการรับมือกับวิกฤติคราวนี้


ด้วยความที่สึนามิที่เกิดขึ้นมาขนาดใหญ่กว่าที่โรงไฟฟ้าถูกออกแบบรองรับ เมื่อสึนามิซัดมาใส่โรงไฟฟ้า ระบบไฟฟ้าแทบทั้งหมดได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงในทันที มีเพียงสองระบบเท่านั้นที่ยังพอใช้งานได้ คือ ระบบไฟฟ้าในส่วนเก็บกากกัมมันตภาพรังสี และระบบของเตาปฏิกรณ์หมายเลข 3 ส่วนเตาที่เหลืออีก 3 ตัวระบบไฟฟ้าตายสนิท


ทุกคนที่จุดรวมพลรู้ดีว่าเมื่อหากไม่มีไฟฟ้าจะเกิดอะไรขึ้นกับเตาปฏิกรณ์ เมื่อมารวมกับความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของครอบครัว ทำให้ขวัญกำลังใจของทุกคนเริ่มสั่นคลอน นี่ยังไม่นับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากอาฟเตอร์ช็อกที่มาเขย่าขวัญทุกคนเป็นระลอก


แทนที่มะซุดะจะกระโดดขึ้นไปบนโตะสูงๆ เพื่อกล่าวสุนทรพจน์สวยหรูให้ลูกน้องฟังเหมือนที่เราเคยเห็นในหนังฝรั่ง เขาเดินไปลากไวท์บอร์ดมาหน้าห้อง แล้วเริ่มวาดกราฟแสดงให้เห็นระยะเวลาและความรุนแรงของอาฟเตอร์ช็อกแต่ละครั้งว่ามีความรุนแรงลดลง ระยะเวลาในการเกิดก็ห่างกันมากขึ้น นั่นหมายความว่า ทุกคนไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่มีซ้ำเติมอีกรอบ


นี่คือวิธีการเรียกสติที่แยบยลมาก ทุกคนที่ทำงานที่นั่น ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีให้รับมือกับเรื่องแบบนี้ เขาไม่แน่ใจว่าตอนที่ทุกคนยังเสียขวัญอยู่ ถ้าเขามอบหมายงานให้แล้วจะมีคนยอมทำตามมากน้อยแค่ไหนในทางตรงกันข้าม หากทุกคนมีสติกลับมาอีกครั้ง การกู้วิกฤติคราวนี้ย่อมมีโอกาสสำเร็จสูงขึ้น ลูกน้องที่กำลังกังวลและคาดหวังว่าหัวหน้าจะทำอะไรสักอย่าง เมื่อเห็นหัวหน้าเขียนกราฟ ก็หันไปมอง ทำให้ทุกคนได้เห็นข้อมูลเดียวกันว่า โอกาสจะเกิดวิกฤติซ้ำมีน้อยแล้ว ที่จะต้องทำตอนนี้คือ แก้วิกฤติที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น


จากการคำนวณของวิศวกร ได้ข้อสรุปว่าพวกเขามีเวลาแค่ 24 ชั่วโมงในการซ่อมแซมระบบทำความเย็นของเตาทั้ง 3 ตัว มะซุดะติดต่อขอความช่วยเหลือจากกองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่นและTEPCO ซึ่งเป็นบริษัทที่สร้างและดูแลโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งนี้ ให้ส่งสายเคเบิล ปั๊มน้ำ รวมถึงอุปกรณ์ที่จำเป็นมาให้โดยด่วน


การทำงานแข่งกับเวลาแบบนี้ ทีมงานต้องต่อไฟฟ้าจากเตาปฏิกรณ์หมายเลข 3 ไปยังเตาที่เหลืออีก 3 ตัว มะซุดะและทีมช่วยกันเขียนผังการทำงานบนไวท์บอร์ด เพื่อให้ทุกคนเห็นภาพรวมของการทำงาน เมื่อมอบหมายงานให้จะได้รู้ว่าเขากำลังทำงานในส่วนไหนของภาพรวมทั้งหมด


งานนี้ไม่หมูแน่นอน เพราะสายเคเบิลที่ใช้เดินไฟฟ้าแต่ละเส้นยาว 200 เมตร หนักประมาณ 1 ตัน ประมาณแล้วคาดว่าต้องใช้สายเคเบิลยาวถึง 9 กิโลเมตร ซึ่งปกติการเดินสายเคเบิลระยะทางขนาดนี้หากใช้คน 20 คนพร้อมเครื่องมือ ต้องใช้เวลาประมาณ 1 เดือน นี่ยังไม่นับที่ต้องลากสายไฟผ่านพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย ที่มีชิ้นส่วนแตกหักขวางทางอยู่ตลอด


เดชะบุญที่ตอนนั้นคนที่อยู่รวมกันมีประมาณ 400 คน การที่ทำคนเห็นภาพรวม ทำให้เกิดความมั่นใจว่าต้องทำได้ จึงสามารถทำงานให้เร็วขึ้น ระบบไฟฟ้าทั้งหมดกลับมาทำงานได้เป็นปกติก่อนเส้นตายประมาณ 2 ชั่วโมง


ความสำเร็จในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นว่า การบริหาร “ความจริง” อย่างเหมาะสม คือหัวใจสำคัญของการบริหารในภาวะวิกฤติไม่กล้าคิดเลยว่า ถ้าเตาปฏิกรณ์ของโรงงานฟุกุชิมะไดนิชิสร้างปัญหาแบบเดียวกับฟุกุชิมะไดนิ ความสูญเสียจะมากแค่ไหน