ความทรงจำ ความหวังและ “วันพรุ่งนี้”

ความทรงจำ ความหวังและ “วันพรุ่งนี้”

น่าทึ่งมากนะครับที่คุณประภาส ชลศรานนท์ ได้แต่งเพลง “วันพรุ่งนี้” ขึ้นมา โดยได้ผนวกรวมเอา “อดีต ปัจจุบัน และอนาคต” ไว้ด้วยกันอย่างแยบคาย

การเลือกให้เด็กทวงถาม “ความทรงจำ” เพื่อนำไปสู่การกระตุกเตือนให้ผู้คนหวนกลับไประลึกถึงการบอกเล่า/สอนสั่งในเรื่องความดีงามของความสัมพันธ์ทางสังคมในครั้งเก่าก่อน ขณะเดียวกันก็โยงมาสู่ปัจจุบันที่ผู้คนเหล่านั้นไม่ได้ทำตามสิ่งที่บอกเล่า/สอนสั่งมา และได้โยงไปสู่ความหวังในอนาคตว่าหากพี่ป้าน้าอาปู่ย่าตายายที่ขัดแย้งกันในวันนี้หวนระลึกและใช้ความทรงจำเก่ามาคืนความสามัคคี ลูกหลานก็จะปฏิบัติตามและอนาคตก็ย่อมสดสวยเหมือนเดิม


กล่าวได้ว่าความปรารถนาของมนุษย์ในการสร้างสังคมที่ดีกว่าก็จำเป็นที่จะต้อง “ควบรวม” อดีต ปัจจุบัน และอนาคตเข้าด้วยกันเช่นนี้แหละ เพราะการทำความเข้าใจปัจจุบันได้ก็จำเป็นต้องสร้างการอธิบายอดีต พร้อมกันนี้การมองเห็นเส้นทางประวัติศาสตร์ที่เคลื่อนจากอดีตมาปัจจุบันก็จะทำให้มองเห็นแนวทางในการสร้าง “ความหวัง” ให้แก่อนาคต


นักทฤษฎีสังคมศาสตร์มนุษยศาสตร์จำนวนไม่น้อยพยายามที่จะเขียนหนังสือเพื่อชักชวนให้ผู้อ่านมองเห็นความสำคัญของการมองต่อเนื่องระหว่าง อดีต ปัจจุบัน กับอนาคต แต่บทเพลงสั้นๆ นี้ได้สรุปความหมายและได้เชื่อมต่อเอาไว้อย่างครบถ้วนทีเดียว


แต่ความปรารถนาของเด็กน้อยที่หวังจะกระตุกเตือนญาติผู้ใหญ่ทั้งหมดก็คงจะไม่มีพลังอย่างที่คุณประภาสคาดหวัง เพราะความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายที่เกิดขึ้นในช่วงยี่สิบปี ได้ทำให้ “อดีต” ของผู้ใหญ่แต่ละกลุ่มเป็นอดีตที่ไม่เหมือนกันอีกแล้ว ผู้ใหญ่บางกลุ่มอาจจะตอบแก่เด็กน้อยว่า “เขาไม่ลืมหรอก” แต่เขาก็จะบอกต่อไปว่าเมื่อก่อนที่เขาเชื่อเช่นนั้นและสอนสั่งไปเพราะถูกทำให้เชื่อว่าสังคมเป็นเช่นนั้น แต่วันนี้ไม่ใช่แล้ว ผู้ใหญ่บางกลุ่มก็อาจจะเน้นย้ำอดีตว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่ปัจจุบันไม่สามารถกลับคืนได้อีกแล้วเพราะทนอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้


“อดีต” ไม่ใช่เรื่องที่ตายตัว หรือไม่ใช่เพียงแค่ถาวรวัตถุทีคงที่ตลอดกาล หากแต่เป็นกระบวนการการให้ “ความหมาย” แก่อดีต การให้ความหมายแก่อดีตก็ไม่ใช่เพียงเพราะค้นพบหลักฐานใหม่ๆ แต่ความเปลี่ยนแปลงของการดำรงอยู่ในตำแหน่งแห่งที่ทางสังคมในปัจจุบัน จึงทำให้ผู้คนให้ “ความหมาย” ต่ออดีตไปในทิศทางที่สอดคล้องไปกับปัจจุบันกาลของเขา


“ความทรงจำ” ซึ่งเป็นสาระสำคัญของสังคมก็เช่นเดียวกัน “ความทรงจำ” ชุดหนึ่งเคยหล่อเลี้ยงความหวังในวันนี้และวันข้างหน้าจึงมีโอกาสที่จะหมดพลังไปในยามที่ผู้คนได้เริ่มเปลี่ยนความหมายของตนเองซึ่งมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงความหมายต่ออดีตไปพร้อมๆ กัน


“ความทรงจำ” ชุดที่ปรากฏในเพลง “วันพรุ่งนี้” เป็นความทรงจำชุดที่ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อมานานมานี้เอง หากคุณประภาสกลับไปอ่านขุนช้างขุนแผนหรือไปพักอาศัยกับพี่น้องชาวบ้านจริงๆ (ที่ไม่ได้ทำรีสอร์ตสวยๆ ขายนักท่องเที่ยวผู้โหยหาอดีต) ก็จะพบว่าความเรียบง่ายในแบบของชุดความทรงจำที่บรรจุไว้ในบทเพลงนั้นไม่มีจริง นักศึกษาที่เดินทางเข้าป่าไปสมทบกับพรรคคอมมิวนิสต์หลัง 2519 จำนวนไม่น้อยที่เข้าป่าไปพร้อมกับความเชื่อว่าชาวบ้านน่ารักและบริสุทธิ์ก็อกหักกลับมาไม่น้อยเพราะมนุษย์ทุกแห่งหนล้วนไม่เคยมีใครสมบูรณ์แบบ


“ความทรงจำ” ถึงอดีตที่แสนงามจึงเป็นเพียงภาพและบทเพลงที่ไม่สามารถจะกระตุ้นเตือนให้ใครได้หวนกลับสู่ความสัมพันธ์แบบเดิมอีกแล้ว นอกจากเสพความรู้สึกเพื่อเติมความโหยหาในบางช่วงเวลาเท่านั้น


เป็นไปไม่ได้เลย ที่เราจะผลัก “ความทรงจำ” ชุดเดิมให้มีปฏิบัติการแบบเดิมในสังคมที่แปรเปลี่ยนจนระบบความสัมพันธ์ทั้งหมดไม่เหมือนเดิมไปแล้ว และเราจะหวังผลักให้ความสัมพันธ์จริงๆ ที่แปรเปลี่ยนไปแล้วให้กลับมาอย่างเดิม ก็เป็นไปไม่ได้อีกเช่นกัน


“ความทรงจำ” เป็นฐานที่สำคัญที่สุดของการจัดตั้งสังคมของมนุษย์ คนแต่ละคนที่จดจำอะไรไว้มากมายไม่ได้จดจำในฐานะของปัจเจกชนเท่านั้น หากแต่สายใยที่เกาะเกี่ยวผู้คนในสังคมได้ทำให้ “ความทรง” ของคนแต่ละรุ่นแต่ละช่วงเวลามีส่วนร่วมกันจนกล่าวได้ว่า “ความทรงจำ” ทั้งหมดเป็น “ความทรงจำร่วม” ของสังคมในระดับใดระดับหนึ่ง


“ความทรงจำร่วม” ของคนในสังคมจะนำให้เกิดการจัดวางตำแหน่งแห่งที่ของผู้คนในสังคมนั้นๆ และการจัดวางนี่ก็จะทำให้เกิดความเชื่อมั่นในความหวังว่าอนาคตจะเดินไปอย่างไร


ในวันนี้ นอกจากความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบันที่เกิดขึ้นและทอดยาวมานานกว่าสิบปี ลึกลงไปสังคมไทยกำลังต้องการการให้ความหมายแก่ “อดีต” กันใหม่ เพื่อที่จะร่วมกันสร้าง “ความทรงจำร่วม” ชุดใหม่อันจะเป็นฐานให้แก่สังคมที่งดงามในอนาคต


ปัญหาที่สำคัญ ก็คือ เราจะสัมพันธ์กับ “อดีต” เพื่อสร้าง “ความทรงจำร่วม” กันอย่างไรในการนำสังคมไทยไปสู่อนาคตที่ดีกว่านี้ ขอต่อคราวหน้านะครับ