ร่วมสร้างสมดุลทางวัฒนธรรมในสังคมไทย

ร่วมสร้างสมดุลทางวัฒนธรรมในสังคมไทย

คำว่า “วัฒนธรรม” มาจากคำว่า “Culture” ในภาษาอังกฤษ ซึ่งคำนี้มีรากศัพท์มาจาก “Cultura”

ในภาษาละติน มีความหมายว่า การเพาะปลูกและบำรุงให้เจริญงอกงาม ซึ่งเมื่อวัฒนธรรมไหนเจริญหรือพัฒนาถึงขีดสุด มันก็จะกลายเป็น อารยธรรม และก็จะไปมีอิทธิพลกับวัฒนธรรมอื่นๆ ด้วยเช่นกัน เช่น อารยธรรมของพวก เมโสโปเตเมีย อารยธรรมลุ่มแม่น้ำไนล์

ในอดีตนั้นเนื่องจากพื้นที่ตั้งของประเทศไทยเองโดยสภาพภูมิศาสตร์ตั้งอยู่กึ่งกลางของพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นศูนย์กลางของชุมชนค้าขายตั้งแต่อดีต เนื่องจากความสะดวกในการเดินทาง พื้นที่ประเทศไทยถูกขนาบไปด้วยอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ไม่ว่าจะเป็นด้านตะวันตกและด้านตะวันออก ซึ่งก็คืออารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ และอารยธรรมลุ่มแม่น้ำฮวงโห เนื่องจากสภาพภูมิประเทศที่เอื้อต่อการอยู่อาศัยจึงทำให้มีผู้คนจากหลากหลายชนเผ่าอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ก่อให้เกิดมีวัฒนธรรมที่หลากหลายผสมผสานกันอยู่ตั้งแต่อดีตเป็นต้นมา บางวัฒนธรรมเมื่อผ่านกาลเวลาก็มีการสูญหายไป บางวัฒนธรรมก็ยังคงอยู่

ในส่วนของประเทศไทยนั้นเนื่องจากเป็นเจ้าของพื้นที่ แม้จะมีการซึมซับอารยธรรมหรือ วัฒนธรรมจากหลายชนเผ่าที่อพยพเข้ามา แต่ก็ยังคงรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมของตนเองไว้ได้อย่างเหนียวแน่น หรือไม่ก็มีการประยุกต์วัฒนธรรมเหล่านั้นกับของตนเอง แล้วประกอบสร้างขึ้นเป็นวัฒนธรรมใหม่ของตนเอง ดังที่สะท้อนให้เห็นจากพิธีกรรมต่างๆ ที่รับเอาแนวคิดมาจากวัฒนธรรมต่างชาติ โดยเฉพาะ พวกเขมร และอินเดีย

ส่วนคำว่า “วัฒนธรรม” ในภาษาไทย เป็นคำที่ได้มาจากการรวมคำ 2 คำ เข้าด้วยกัน คือ คำว่า “วัฒนะ” หมายถึง ความเจริญงอกงาม รุ่งเรือง และ คำว่า “ธรรม” หมายถึง การกระทำหรือข้อปฏิบัติ เมื่อรวมกันแล้ว วัฒนธรรมตามความหมายของคำในภาษาไทยจึงหมายถึงข้อปฏิบัติเพื่อให้เกิดความ เจริญงอกงาม และเป็นสิ่งที่แสดงถึงความเป็นตัวตนของเจ้าของวัฒนธรรมนั้นๆ ดังนั้น วัฒนธรรมไทยจึงน่าจะหมายถึง สิ่งที่ดีงามที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา และยังเป็นภาพสะท้อนของความเป็นไทยด้วยเช่นกัน วัฒนธรรมไทยบางครั้งเราเรียกว่าวัฒนธรรมทางตะวันออก ส่วนวัฒนธรรมของพวกฝรั่งมังค่านั้นส่วนใหญ่เราก็เรียกรวมๆ ไปว่า วัฒนธรรมตะวันตก หากเราชมภาพยนตร์ฝรั่ง จะพบว่าวัฒนธรรม ซึ่งอาจจะหมายถึง รูปแบบการใช้ชีวิต (Lifestyles) ของคนในสังคมตะวันตกนั้น มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากของสังคมไทย

ในสังคมตะวันตก ระบบครอบครัวจะแตกต่างกับระบบครอบครัวของสังคมไทยมาก ในระบบครอบครัวของสังคมตะวันตกจะยินยอมให้เด็กมีสิทธิแสดงความคิดเห็น ซึ่งสามารถพูดคุยโต้แย้งกับผู้ใหญ่ได้ ส่วนหนึ่งก็มองว่าเป็นสิ่งที่ดีทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ กล้าแสดงออก ทำให้เกิดการพัฒนา ส่วนในระบบครอบครัวของสังคมไทย เด็กถูกอบรมสั่งสอนให้มีความอ่อนน้อมถ่อมตน และที่สำคัญ ไม่สามารถที่จะแสดงความเห็นโต้เถียงกับผู้ใหญ่ได้ หรือพูดง่ายๆ ว่า ผู้ใหญ่ต้องถูกเสมอ สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างกันของวัฒนธรรม ทั้งของสังคมฝรั่ง และของสังคมไทยอย่างเห็นได้ชัด และหากว่ามองในมิติของการสื่อสารปรากฏการณ์เช่นนี้ก็จะสะท้อนให้เห็นว่า ในสังคมฝรั่งนั้นระบบการสื่อสารจะเป็นแบบ 2 ทาง ซึ่งเด็กกับผู้ใหญ่จะสลับสับเปลี่ยนบทบาทกันไปมา ระหว่างผู้ส่งสาร (Sender) และผู้รับสาร (Receiver) ส่วนในครอบครัวสังคมไทยนั้น ระบบการสื่อสารจะเป็นแบบทิศทางเดียวเสียส่วนใหญ่ โดยที่เด็กมีหน้าที่รับสารเพียงอย่างเดียว มีเพียงไม่กี่ครอบครัวนักที่จะนำเอารูปแบบการใช้ชีวิตแบบฝรั่งเข้ามาใช้

เมื่อโลกก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัล เกิดการสื่อสารที่ไร้พรมแดนขึ้น ข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับรูปแบบวัฒนธรรมจากทั่วทุกมุมโลกถูกถ่ายทอดถึงกัน เด็กๆ ในสังคมไทยในระยะเวลาที่ผ่านมาเริ่มมีความคิดก้าวหน้า เริ่มมีความคิดเป็นของตนเองมากขึ้น เริ่มต้องการที่จะแสดงความคิดเห็นมากขึ้น หรืออาจจะเรียกได้ว่าเกิดพฤติกรรมการเลียนแบบ และในบางครั้งเกิดการโต้เถียงกันระหว่างเด็กและผู้ใหญ่

หากจะมองว่าวัฒนธรรมของฝรั่งสอนให้เด็กมีความกล้าแสดงออก ก็อาจจะจริงอยู่ แต่ต้องไม่ลืมว่าสิ่งต่างๆ เหล่านั้นเขาสั่งสมกันมา และมันยังมีกรอบอะไรบางอย่างที่ควบคุมความกล้าแสดงออกนั้นๆ ไว้ ซึ่งเราอาจจะยังเข้าไม่ถึง ดังนั้นเมื่อเด็กหรือวัยรุ่นในสังคมไทยไปรับเอาวัฒนธรรมแบบนั้นมาใช้ก็อาจจะกลายเป็นการแสดงออกแบบก้าวร้าวแทนที่จะใช้เหตุผลในการโต้เถียงกลับเป็นการใช้อารมณ์แทน ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเรารับเอาวัฒนธรรมเขามาใช้แค่เพียงเปลือกนอก ส่วนวัฒนธรรมไทยเป็นสิ่งที่ดีงามสั่งสอนให้เด็กไทยมีความอ่อนน้อมถ่อมตน ซึ่งหากจะหลอมรวมกับวัฒนธรรมฝรั่งในด้านการกล้าแสดงออกนั้น ก็สามารถทำได้ หากเพียงแต่ต้องเข้าให้ถึงแก่นแท้ของเขาว่า ในการกล้าแสดงออกในการโต้แย้งทางความคิดเห็นกับผู้ใหญ่นั้น เด็กฝรั่งเขาทำอย่างไร ถูกปลูกฝังมาเช่นไรในด้านการแสดงเหตุและผล ไม่เช่นนั้นสิ่งที่กระทำก็จะเป็นเพียงการแสดงความก้าวร้าวเท่านั้นเอง

สถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา และสถาบันทางศาสนา รวมไปถึงสถาบันภาครัฐเช่นกระทรวงวัฒนธรรม จึงควรจะมีส่วน หรือร่วมมือกันในการสร้างความตระหนักในด้านวัฒนธรรมไทยให้กับเด็กหรือเยาวชน และสร้างความตระหนักในการนำเอาวัฒนธรรมต่างชาติมาใช้อย่างเหมาะสมและสร้างสรรค์ หากสามารถทำได้ก็เท่ากับสามารถสร้างสมดุลทางวัฒนธรรมให้เกิดขึ้นในสังคมไทยได้ ซึ่งสิ่งที่ตามก็คือเราจะเป็นสังคมที่มีเด็กและเยาวชนที่มีความกล้าแสดงออกทางความคิดอย่างมีเหตุมีผล และอยู่บนพื้นฐานของความอ่อนน้อมถ่อมตนซึ่งเป็นเอกลักษณ์หลักของวัฒนธรรมความเป็นไทย ดังนั้น มาร่วมกันสร้าง “สมดุลทางวัฒนธรรมกันดีกว่าไหม ?”