"นักเก็งกำไร" ผู้รับความเสี่ยงในตลาดล่วงหน้า

ทุกวันนี้ เราดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนครับ
ตัวอย่างของความเสี่ยง และความไม่แน่นอนในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ผมจะยกตัวอย่างให้เห็น ก็คือ ผลการแข่งฟุตบอลในศึกวันแดงเดือด (ระหว่าง แมนฯยู-ลิเวอร์พูล) ฟุตบอลมันก็ลูกกลม ๆ อะไรล้วนเกิดขึ้นได้ ความไม่แน่นอนในผลการแข่งขันนั้น (ไม่ว่าจะชนะกันกี่ลูก หรือ ผลจะออกมาแพ้ ชนะ หรือ เสมอ) ล้วนเกิดความเสี่ยงกับเงินในกระเป๋าของนักพนันที่ได้เล่นพนันผลฟุตบอลคู่นี้
ทำนองเดียวกันกับ การเปลี่ยนแปลงขึ้น ๆ ลง ๆ ของราคาสินค้า เช่น ทองคำ หรือ ยางพารา สำหรับบางคนอาจเห็นว่าไม่มีอะไร ทองจะขึ้นก็ขึ้นไป ยางพาราจะตกต่ำยังไงก็ตกไป แต่สำหรับผู้ชายที่กำลังจะแต่งงาน (ต้องซื้อทองไว้เป็นสินสอด) หรือ ชาวสวนยางพารา (ต้องกรีดยางขาย) ความไม่แน่นอนในรูปแบบของความผันผวนของราคาทองคำ และยางพารานั้น ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อ เงินในกระเป๋าของเจ้าบ่าวในอนาคตคนนี้ และก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อรายได้ของชาวสวนยางผู้นี้โดยตรง ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากความผันผวนของราคาสินค้าดังที่กล่าวมานี้ มีชื่อว่า ความเสี่ยงด้านราคา หรือ PRICE RISK ครับ
ความเสี่ยงด้านราคานั้น เกิดขึ้นจากความผันผวนของราคาสินค้า กล่าวคือ เกิดจากการที่ราคาสินค้าปรับตัวขึ้น-ลงอย่างมากและรวดเร็ว จนทำให้บางครั้ง ผู้ผลิต หรือผู้ประกอบการบางรายไม่สามารถวางแผนการผลิต หรือวางแผนการค้าได้อย่างถูกต้องและทันท่วงที ซึ่งความเสี่ยงนี้ อาจทำให้กำไร หรือรายได้ลดน้อยลง หรืออาจทำให้ขาดทุนจนต้องปิดกิจการไปเลยก็ได้
ความเสี่ยงนี้เอง จึงทำให้เกิดเครื่องมือการบริหารความเสี่ยงขึ้น เช่น กระบวนการซื้อขายล่วงหน้า (FUTURES TRADING) ผ่านตลาดซื้อขายล่วงหน้า (FUTURES MARKET เช่น CBOT CME TOCOM TFEX หรือ AFET) ซึ่งปัจจุบันราคาตลาดโลกของสินค้าที่สำคัญ ล้วนถูกกำหนดมาจากกระบวนการซื้อขายล่วงหน้า (FUTURES TRADING) ในตลาดล่วงหน้าแทบทั้งสิ้น
แทบทุกครั้งครับ หากจะมีการถามหาต้นเหตุของความผันผวนของราคาสินค้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าชนิดใด จำเลยสำคัญที่หนีไม่พ้น โดนโยนความผิดว่าเป็นเหตุของความผันผวนของราคา คือ การเก็งกำไร (SPECULATION) และนักเก็งกำไร (SPECULATOR)
ทั้ง ๆ ที่ SPECULATOR เป็นเพียง ผู้ที่เข้ามาขอเก็งกำไรในตลาด เพื่อทำกำไร โดยอาศัยความสามารถของในการคาดคะเนการเคลื่อนไหวของราคาเท่านั้น (เช่น เข้าซื้อเมื่อเห็นว่าราคาสินค้าน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น และ เข้าขายหากเห็นว่าราคาสินค้าจะปรับตัวลดลง) บุคคลที่สมควรโดนประณาม และถูกจับติดคุก ได้แก่ บุคคลที่ทำกำไรโดยการเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น เช่น การใช้ข้อมูลภายใน การปล่อยข่าวลือ หรือ การกักตุนสินค้าแล้วปั่นราคามากกว่า
SPECULATOR อาจจะมีชื่อเสียงที่ไม่ดีในสายตาบางคนครับ (เพราะชอบถูกยัดเยียดความผิด) แต่ในความเป็นจริงแล้ว SPECULATOR มีบทบาทที่สำคัญมาก ในกระบวนการซื้อขายล่วงหน้า (FUTURES TRADING) โดยทำหน้าที่รับความเสี่ยง จาก ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องกับสินค้าชนิดนั้น (หรือที่เรียกกันว่า HEDGER อย่างกรณียางพารา ผู้ประกอบการ เช่น ชาวสวนยาง ผู้แปรรูปยาง โรงงานยาง ผู้ส่งออกยาง เป็นต้น)
เพราะหากตลาดไม่มี SPECULATOR และมีแต่พวก HEDGER เท่านั้น HEDGER ก็ต้องซื้อขายกันเอง (จำนวน HEDGER อาจมีอยู่เป็นจำนวนหนึ่งครับ แต่จะเทียบไม่ได้กับจำนวนของ SPECULATOR ที่มีอยู่เป็นแสนเป็นล้านทั่วโลก) โรงงาน A ต้องการขายยางล่วงหน้า (SHORT RUBBER FUTURES) ก็ต้องรอ ORDER กลุ่มผู้ส่งออก ซึ่งอาจต้องรอเป็นเวลานานกว่าจะตกลงราคากันได้ (ผู้ส่งออกอาจไปทัวร์ยุโรปอยู่ จึงไม่ทันเห็น ORDER ของ โรงงาน A)
ในทางตรงกันข้าม หากมีพวก SPECULATOR อยู่ในตลาด SPECULATOR นี้อาจรับซื้อยางจากโรงงาน A นี้ก่อน ถือไว้วันสองวัน แล้วค่อยขายต่อผู้ส่งออก (หลังกลับมาจากทัวร์ยุโรปแล้ว) SPECULATOR นี้ทำหน้าที่เป็นน้ำมันหล่อลื่นให้ตลาด (ทำการซื้อมาขายไป หรือ ขายมาแล้วก็ซื้อไป) ช่วยให้ RUBBER FUTURES นี้ ซื้อง่าย ขายคล่อง หรือที่เรียกว่าช่วยให้การซื้อขายมีสภาพคล่อง (หรือ LIQUIDITY) นั้นเอง
โดยสิ่งเดียวที่ SPECULATOR ต้องการเป็นการตอบแทนนั้น คือ กำไร พวกนี้จึงจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการซื้อขายในช่วงเดือนที่ครบกำหนดส่งมอบ (DELIVERY MONTH) เพราะกลัวที่จะต้องไปรับมอบ-ส่งมอบ สินค้าจริง (ต้องการเงินเท่านั้น ไม่ต้องการสินค้า) ทำให้สัญญาที่อยู่ในช่วงเดือนที่ครบกำหนดส่งมอบมักมีสภาพคล่องต่ำ เพราะผู้ถือสัญญาส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการที่ต้องการส่งมอบ-รับมอบสินค้าจริง ๆ เท่านั้น
นอกจากนี้ SPECULATOR ยังช่วยเพิ่มความข่าวสารให้กับตลาด กล่าวคือ หากมีผู้มีสนใจเข้าซื้อขายสินค้าล่วงหน้ากันเยอะๆ ข่าวทั้งทางหนังสือพิมพ์ วิทยุ และ โทรทัศน์ก็จะหันมารายงานราคาข้อมูลการซื้อขายล่วงหน้ากันมากขึ้น (เมื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าตน) รวมทั้งจะมีการรายงาน ข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวข้องกับราคาซื้อขายล่วงหน้ากันมากขึ้น เช่น สภาพดินฟ้าอากาศ ต้นทุนการผลิต นโยบายรัฐ อีกทั้ง ก็จะมีบทวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญต่าง ๆ ออกมารายงานสู่สาธารณชนมากขึ้น (เปรียบจากก่อนหน้านี้ ราคาสินค้าอาจถูกกำหนดจากผู้คนไม่กี่ราย เพราะข้อมูลข่าวสารมักถูกจำกัดเฉพาะกลุ่มคนในวงการ)
ฉะนั้น การมีข่าวสารมากขึ้น ผู้ซื้อ-ผู้ขายในตลาด ก็จะสามารถตัดสินใจขายสินค้าของตนได้อย่างถูกต้องมากขึ้น ตลาดเมื่อมีข่าวสารเข้ามามากก็จะสามารถทำหน้าที่การค้นหาราคา (PRICE DISCOVERY) ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ระบบการซื้อขายสินค้าโดยรวมทั้งระบบมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม ตรงตามวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งตลาดซื้อขายล่วงหน้าทั่วโลกครับ







