แก้และป้องกันรัฐประหาร ต้องลงลึกถึงระดับบุคคล

จากนี้ไปจะเป็นช่วงแห่งการเริ่มต้นของ การยกร่างรัฐธรรมนูญการปกครองใหม่ มีประเด็นหนึ่งที่ถูกนำมากล่าวถึงทุกครั้ง
ในการยกร่างรัฐธรรมนูญในช่วงหลังคือเราจะป้องกันการรัฐประหารอย่างไร และต้องเขียนเอาไว้ในรัฐธรรมนูญเพื่อป้องกันการรัฐประหารได้หรือไม่ ซึ่งประเด็นดังกล่าวถูกหยิบยกมาเนื่องจากไม่ต้องการให้เกิดการปฏิวัติรัฐประหารเกิดขึ้นในประเทศอีกในอนาคต เพราะเห็นว่าเป็นสิ่งฉุดรั้งการพัฒนาประชาธิปไตยของประเทศ และประหนึ่งว่าตัวบทกฎหมายจะสามารถป้องกันการรัฐประหารได้
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เปรียบเทียบกรณีนี้อย่าน่าสนใจ โดยระบุว่า "การสร้างบ้านกับรัฐธรรมนูญจึงคล้ายกันจะต้องคิดว่าภัยต่างๆจะมีอะไรบ้าง หลายคนถามว่าทำไมต้องคิดร่างรัฐธรรมนูญป้องกันการรัฐประหาร ก็ทำมา 19 ฉบับ ก็ทำรัฐประหารกันเสียตั้งเยอะ เราก็รู้ว่าเป็นภัยหนึ่งในหลายภัย และถ้าเราคิดว่าเป็นภัยก็ต้องหาทางป้องกันไว้ ส่วนจะคิดอย่างไรก็แล้วแต่ มันคงแก้หมดจดไม่ได้ ซึ่งที่ผ่านมาก็มีการคิดและแก้ไขไปบ้างแล้วและคงต้องช่วยกันคิดต่อไป"
นายวิษณุ บอกอีกว่าในรัฐธรรมนูญในอดีต ก็เคยมีการเขียนมาแล้วว่าห้ามมีการรัฐประหาร "แต่พอถึงเวลาเขาก็ยกเลิกทั้งฉบับ หรือเลิกมาตรานั้น สิ่งที่ห้ามไว้ก็หายไป ประโยชน์ก็ไม่มี เพราะฉะนั้น การเขียนห้ามก็ไม่มีประโยชน์มันอยู่ที่ความรู้สึกนึกคิด จิตใจ การยอมรับ อะไรที่เรารู้สึกว่าเป็นที่ยอมรับ เราก็จะหวงแหน เมื่อเราหวงแหนก็รู้สึกผูกพัน อย่าว่าแต่ฉีกเลย แก้เรายังไม่อยากให้แก้เลย" ซึ่งแสดงให้เห็นถึงข้อจำกัดบางประการของข้อกฎหมาย เพราะถึงที่สุดแล้วก็ไม่สามารถทำได้จริงในเชิงปฏิบัติ
สาเหตุของการปฏิวัติรัฐประหารนั้น มีคนพยายามอธิบายให้ดูเข้าใจง่าย ซึ่งบางครั้งก็ง่ายเกินไป อาทิ สาเหตุเกิดจากการแต่งตั้งโยกย้ายของฝ่ายการเมือง ผู้นำทหารอยากเข้ามามีอำนาจทางการเมือง หรือแม้แต่ความขัดแย้งเรื่องการจัดทำงบประมาณ อย่างไรก็ตามหากดูคำแถลงของคณะรัฐประหารในทุกครั้งจะสะท้อนว่าเกิดจากระบบการเมืองเองมีปัญหา เช่น การทุจริตคอร์รัปชัน เกิดความขัดแย้งทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย แม้ว่าเหตุผลเหล่านี้คนต่อต้านการรัฐประหารจะมองว่าเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม หากพยายามหาสาเหตุกันจนถึงที่สุดแล้ว เราจะพบว่าการรัฐประหารในเมืองไทยไม่ใช่เป็นปรากฏการณ์ที่อธิบายได้ง่ายนักจากมุมใดมุมหนึ่งเท่านั้น เพราะหาไม่แล้วคงหาวิธีการป้องกันได้ไม่ยากนักหากเกิดเพียงปัจจัยเดียว ดังนั้นความพยายามในการป้องกันรัฐประหารอาจจะต้องแก้ปัญหาด้านอื่นที่เป็นต้นตอของปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้นด้วย โดยเฉพาะสถาบันทางการเมืองต่างๆที่ออกแบบกันมาสำหรับการบริหารประเทศ หากสามารถทำงานได้ดีแล้ว การรัฐประหารจะเกิดขึ้นได้ยาก
นายวิษณุกล่าวได้อย่างถูกต้องว่าการป้องกันเป็นเรื่องของทุกคนที่"ต้องช่วยกันคิดต่อไป" แต่การคิดเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ ยังต้องก่อให้เกิดผลทางปฏิบัติด้วย หากเราต้องการป้องกันรัฐประหารอย่างแท้จริงแล้ว เราจำเป็นต้องให้กลไกทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ และองค์ประกอบที่สำคัญของสถาบันการเมืองคือคนไทยนั่นเอง ดังนั้น การป้องกันที่ได้ผลที่สุดก็คือคนไทยที่เข้ามีบทบาทในสถาบันการเมือง ก็จำเป็นต้องขจัดเงื่อนไขเพื่อนำไปสู่รัฐประหารด้วย และต้องอย่ามีพฤติกรรม"ปากว่าตาขยิบ"โดยอ้างความเป็นประชาธิปไตย







