การทูตทักทายแบบ กระอักกระอ่วนที่ปักกิ่ง

การทูตทักทายแบบ กระอักกระอ่วนที่ปักกิ่ง

ดูสีหน้าของท่านผู้นำทั้งสอง บอกได้คำเดียวว่า "กระอักกระอ่วน" และ "พะอืดพะอม"

เพราะทั้งสองรู้ว่าทั่วโลกกำลังจ้องอยู่ว่าเมื่อเจอกันต่างฝ่ายต่างจะแสดงออกอย่างไร

ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ของจีนในฐานะเจ้าภาพประชุมสุดยอด Apec ให้นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นชินโซะ อาเบะ รออยู่พักหนึ่งก่อนที่จะปรากฏตัวมาจับมือ

ทั้งสองต่างพยายามจะเบือนหน้าหนีกันขณะที่สัมผัสมือ อาเบะ กล่าวสองสามคำเป็นภาษาญี่ปุ่น ล่ามสุภาพสตรีแปลเสร็จ หันมาที่ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง แต่ท่านผู้นำจีนไม่เอ่ยเอื้อนอะไรแม้แต่คำเดียว

อีกทั้งยังแสดงสีหน้าเฉยเมย ต่างคนต่างพยายามจะหลบสายตากันขณะที่กล้องทีวีและภาพนิ่ง ต่างก็แย่งกันถ่ายภาพประวัติศาสตร์นี้อย่างคึกคัก

วิเคราะห์ได้ไม่ยากว่าสีจิ้นผิง ต้องการให้คนจีนทั้งประเทศได้เห็นว่า เขาไม่ยินดีปรีดากับการมาเยือนของผู้นำญี่ปุ่นนัก

ขณะที่นายกฯอาเบะ ก็รู้ว่าคนญี่ปุ่นกำลังเฝ้ามองว่าจะแสดงท่าทีหงอต่อจีนหรือไม่

ทั้งสองผู้นำจึงตกอยู่ในฐานะลำบาก ต้องทำให้เห็นว่าจำใจต้องมาเจอกัน เพื่อจะได้ให้อีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่าพร้อมจะเจรจาอย่างสันติ แต่ก็ต้องมีลีลาของความไม่พอใจอย่างเปิดเผย

เป็นภาพสีหน้า "กล้ำกลืนฝืนทน" ที่สะท้อนถึงภาวะความสัมพันธ์ของสองยักษ์ใหญ่แห่งเอเชีย ที่เสื่อมทรามมายาวนาน และยังไม่มีทีท่าว่าจะผ่อนคลายความตึงเครียดให้สู่ภาวะปกติได้เมื่อไหร่และอย่างไร

เพราะข้อพิพาทเหนือหมู่เกาะที่จีนเรียก "เตี้ยวหยู" และญี่ปุ่นขานชื่อว่า "เซนกากุ" นั้นเป็นประเด็นร้อนที่ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกัน

หลังจากสัมผัสมือกันอย่างเย็นชาแล้ว สีจิ้นผิงกับอาเบะและคณะก็นั่งลงประชุมประมาณ 25 นาที (ซึ่งสั้นกว่าปกติ) แต่ไม่มีข้อตกลงอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน มีแต่ภาษาการทูตของทั้งสองฝ่ายที่ยังรักษาท่าทีของกันและกัน

วลีการทูตที่ว่านั้นคือคำแถลงของนายกฯญี่ปุ่น ที่บอกว่าการพบปะที่ปักกิ่งถือเป็น "ก้าวแรก" ของการปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ โดยมีการแลกเปลี่ยนความเห็นที่เป็น "mutually beneficial relationship based on common strategic interests."

แปลได้ความว่าเป็น "ความสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย บนพื้นฐานของผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ร่วมกัน"

เป็นคำกล่าวลอย ๆ ที่ไม่มีความหมายทางปฏิบัติแต่อย่างไร แต่เป็นถ้อยแถลงที่ตอกย้ำถึงความพยายามที่จะหา "จุดร่วม" ให้ได้แม้จะยากเย็นเพียงใดก็ตาม

ผู้นำทั้งสองตกลงได้เพียงว่าจะเริ่มหาทางสร้างระบบ "บริหารวิกฤตในทะเล" เพื่อป้องกันการปะทะหากเรือลาดตระเวนและเครื่องบินรบของทั้งสองฝ่ายเฉียดกันไปมาในบริเวณใกล้ ๆ หมู่เกาะที่เป็นประเด็นพิพาทกันอยู่

ผมคิดเล่น ๆ ว่าถ้า นายกฯประยุทธ์ จันทร์โอชา ปรากฏตัวมาตรงกลาง จับมือของทั้งสองผู้นำและเสนอให้ส่งยิ้มให้แก่กัน ประวัติศาสตร์โลกอาจเปลี่ยนไปโดยพลันก็ได้

แต่ภาพนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้ายังไม่เห็นประธานาธิบดี บารัก โอบามาสัมผัสมือกับนายกฯประยุทธ์ ของไทยที่ปักกิ่งก่อน!