นวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์มาจากไหน

นวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์มาจากไหน

'ความคิดสร้างสรรค์'สำคัญอย่างยิ่งต่อการทำธุรกิจสมัยใหม่เนื่องจากเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างนวัตกรรมเชิงธุรกิจได้

นักวิชาการได้ทำการศึกษามานานแล้วว่าคนเราจะมีความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างไร จะต้องใช้องค์ประกอบใดในการเรียนรู้ที่จะทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ขึ้นมาได้ หรือพูดง่ายๆ ว่า ความสามารถในการเกิดความคิดสร้างสรรค์ที่ดีๆ นั้น เรียนรู้ขึ้นมาได้หรือไม่ หรือเป็นเรื่องของพรสวรรค์เฉพาะของแต่ละบุคคล

สิ่งที่นักวิชาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นักจิตวิทยา ได้พบว่า ความคิดสร้างสรรค์และความสามารถเชิงนวัตกรรมในตัวบุคคล เป็นสิ่งที่เรียนรู้และสร้างขึ้นได้

โดยแหล่งที่มาของการทำให้บุคคลเกิดความคิดสร้างสรรค์ขึ้นมาได้ อาจเกิดขึ้นมาจาก

1. การมีความรู้ ซึ่งอาจได้มาจากการเรียนรู้ด้วยตนเอง การเข้ารับการอบรมหรือฝึกฝนในสถาบันการศึกษา หรือการมีความรู้จากประสบการณ์และการได้ลงมือทำงานด้วยตัวเอง

2. การเกิดความคิด อาจได้มาจากความเห็นที่ไม่ลงรอยกับผู้อื่น ความต้องการที่จะหนีออกจากสภาพเดิมๆ ที่เป็นอยู่ การนำความรู้ต่างๆ หลายๆ ด้านเข้ามารวมกันเป็นเรื่องเดียว ความพยายามในการแก้ปัญหาที่เผชิญอยู่ และความสามารถในการควบคุมความคิดของตัวเอง เช่น การสร้างสมาธิในยามที่เกิดมีความสับสนทางความคิด เพื่อนำตัวเองให้กลับมาอยู่ในทิศทางความคิดที่ถูกต้องได้ใหม่

3. การได้รับแรงกระตุ้นหรือแรงผลักดัน เกิดขึ้นได้ทั้งจากธรรมชาติของการเป็นมนุษย์ เช่น การอยากรู้อยากเห็นในเรื่องต่างๆ การมีความสนใจจดจ่อในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างลึกซึ้งผูกพัน และแรงกระตุ้นที่เกิดจากภายนอก เช่น การแข่งขัน การให้รางวัล เป็นต้น

4. สภาวะแวดล้อม ความคิดสร้างสรรค์มักจะเกิดขึ้นจากสภาวะแวดล้อมที่ผ่อนคลาย ไม่ตกอยู่ภายใต้การคุกคามต่างๆ บรรยากาศที่ไม่มีการควบคุมใดๆ ให้เห็น

5. ความต้องการที่จะมีความคิดสร้างสรรค์ หรือความตั้งใจที่จะคิดให้ได้ เป็นตัวช่วยที่จะนำไปสู่ผลลัพธ์ของความคิดสร้างสรรค์ที่ยิ่งใหญ่หรือมีความสำคัญ เช่น การตั้งใจหรือตั้งเป้าหมายที่จะสร้างนวัตกรรมให้กับธุรกิจ เป็นต้น

สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะเป็นที่มาสำหรับการสร้างความคิดสร้างสรรค์ขึ้นในตัวบุคคล แต่เมื่อบุคคลมารวมตัวกัน เช่นในที่ทำงาน ความคิดสร้างสรรค์ส่วนบุคคลอาจจะไม่ได้ถูกนำมาแสดงออกได้อย่างเต็มที่ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องใช้เทคนิคเพิ่มเติมสำหรับการกระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ขึ้นในที่ทำงาน

เทคนิคที่มีผู้นำมาใช้ เช่น

1. การสร้างความท้าทาย ด้วยการจัดทีมงานที่ลงตัว มีความผสมผสานที่ดี มีการถ่วงดุลระหว่างคนที่มีความชำนาญหรือความรู้ในด้านที่ต่างกันแต่เสริมกัน ซึ่งเรื่องนี้จะต้องมาจากผู้จัดการหรือผู้บริหารที่รู้จักพนักงานในสังกัดของตนดี และทราบว่า ใครที่เหมาะสมหรือมีความรู้สำหรับงานประเภทใด และมีบุคลิกภาพ และมนุษยสัมพันธ์เป็นอย่างไร

ความท้าทายจะเกิดขึ้นเมื่อเป้าหมายที่กำหนดมีความเป็นไปได้ ไม่ยากเกินไปจนเอื้อมไม่ถึง แต่ก็ไม่ง่ายจนเกิดความน่าเบื่อหน่าย

2. การให้ความเป็นอิสระในการทำงาน เพื่อให้สำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดให้ ซึ่งหมายความถึงว่า การกำหนดเป้าหมายจะต้องมีความชัดเจนทั้งในเรื่องของเนื้องาน ระยะเวลา และทรัพยากรที่จำเป็น

ในบริษัทบางแห่ง เช่น ที่ 3M ของอเมริกา มีการให้เวลาทำงานประมาณ 15% เพื่อให้พนักงานได้คิดและทำโครงการอะไรก็ได้ที่ตนเองสนใจ ซึ่งได้ผลเป็นอย่างดีกลับมาสู่บริษัทมากกว่าที่ได้คาดไว้

3. การกำหนดขอบข่ายสำหรับทรัพยากรในการทำงาน ทรัพยากรเช่น เวลา มีอิทธิพลค่อนข้างมากสำหรับเกิดความคิดสร้างสรรค์ โดยจะเห็นได้ว่า เมื่อใดที่มีเวลากระชั้นชิด ทีมงานจะสามารถผลักดันผลงานที่ต้องการได้ทันเวลาเสมอ แต่ก็อาจสร้างผลในทางตรงกันข้ามได้ คือ การท้อถอย หรือ การหักโหมงานจนสภาพร่างกายไม่ไหวที่จะทำงานให้สำเร็จได้

ส่วนทรัพยากรเช่น เงินทุน หรือ อุปกรณ์เครื่องมือประกอบการทำงาน หากมีไม่เพียงพอ ก็อาจทำให้เกิดผลกระทบในเชิงลบต่อการคิดสร้างสรรค์เช่นกัน

4. บรรยายกาศของการทำงานเป็นทีม เนื่องจากทีมได้รับการคัดเลือกมาจากที่มาที่แตกต่างกัน การทำงานจะผสมผสานกันในรูปแบบที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ ควรจัดให้มีบรรยากาศที่ทีมงานจะได้รับการตอบสนองด้วยความตื่นเต้นจากปฏิกิริยาของการผสมผสานความคิดให้สังเคราะห์ออกมาเป็นความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ที่มีคุณค่า

5. การสนับสนุนจากฝ่ายบริหาร เนื่องจากธรรมชาติของการสร้างผลตอบแทนจากความคิดสร้างสรรค์และการสร้างนวัตกรรม เป็นสิ่งที่ต้องอาศัยเวลา การสนับสนุนจากฝ่ายบริหาร จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการผลักดันให้ทีมงานสร้างสรรค์มีกำลังใจในการที่จะเดินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง แม้ว่าผลงานที่เกิดขึ้นยังไม่อาจสะท้อนให้เห็นผลได้อย่างทันใจ

ฝ่ายบริหารยังต้องเข้าใจธรรมชาติของนักคิดด้วยในแง่ของความต้องการที่จะเห็นผลสัมฤทธิ์ที่เป็นรูปธรรมของความคิดของตนเอง ซึ่งหากจะต้องรอจังหวะเวลาทางการตลาด ฝ่ายบริหารต้องทำความเข้าใจกับทีมงานนักคิด ไม่ให้เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ ที่จะเป็นเหตุให้บั่นทอนศักยภาพในการคิดสร้างสรรค์ที่จะเกิดขึ้นต่อไป

6. การให้ความเชื่อมั่นในทั่วทั้งองค์กร กำลังใจและแรงกระตุ้นภายในของทีม จะเกิดขึ้นเมื่อทีมงานได้รับเสียงสะท้อนจากทุกภาคส่วนในองค์กรที่เห็นความสำคัญของความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ หรือนวัตกรรมที่จะเป็นหน้าตาขององค์กรต่อไปในอนาคต

นวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ในเชิงของธุรกิจ จะต้องเกิดขึ้นมาจากความคิดในระดับบุคคลก่อน การนำความคิดต่างๆ ของแต่ละบุคคลมารวมกันในรูปของทีมงาน

มีคำกล่าวว่า ความคิดสร้างสรรค์ในรูปของทีมงาน จะเปรียบเสมือนสี่แยก ที่ยานพาหนะแห่งความคิดจะมาเจอกัน และจัดระเบียบใหม่ให้เป็นไปในทิศทางที่ควรจะเป็น โดยไม่ต้องเกิดการชนกันวินาศสันตะโร

แต่ทำให้แต่ละความคิดมารวมกันได้อย่างมีพลัง นำไปสู่การสร้างนวัตกรรมที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจได้อย่างยั่งยืน