เรียนรู้กระบวนการ AI ด้วย 4D Model

เรียนรู้กระบวนการ AI ด้วย 4D Model

แนวคิดพัฒนาองค์กรด้วย Appreciative Inquiry มีอยู่ 4 ขั้นตอน เรียกได้ว่า 4D Model

ได้แก่

1. Discovery การค้นบวก

2. Dream การฝันบวก

3. Design การปั้นบวก

4. Destiny การทำบวก

วิธีง่ายๆ ที่ง่ายที่สุด ที่ใช้ทำกระบวนการ AI ก็คือ

๐ การตั้งคำถามเชิงบวก

๐ การสัมภาษณ์เชิงบวก และ

๐ การสังเกตเชิงบวก

ยุคแห่งการพัฒนายุคที่ 3 นี้ เน้นแนวคิดจิตวิทยาเชิงบวกเข้ามาผสมผสานกับการพัฒนา

โดยคิดเสมอว่า ทุกๆ คน ก็คือ มนุษย์ มีจิตใจ มีทักษะ ความรู้ ความสามารถ ความคิดมากมาย

เพียงแค่ใช้หลักจิตวิทยาเชิงบวก ดึงพลังเหล่านี้ขึ้นมาใช้ให้เกิดผลสูงสุดเท่านั้น เริ่มกันที่

1. การตั้งคำถามเชิงบวกของสิ่งที่เราให้ความสนใจ (Topic) เช่น

๐ การขายครั้งใดที่ขายได้ยอดมากที่สุด

๐ การผลิตครั้งใดผลิตแล้วไม่มีของเสียหรือมีน้อยที่สุด

๐ การบริหารงานครั้งใด ลูกน้องทำตามที่วางแผนมากที่สุด

เป็นการ Discovery ค้นหาสิ่งที่เป็นที่สุดของสิ่งที่เรากำลังจะพัฒนา

2. เมื่อได้คำตอบของคำถามที่ Discovery มา นั่นคือ Dream เช่น

๐ การขายที่ยอดขายมากที่สุด คือ ตอนที่ไปขายร่วมกับนักขายผู้หญิงอีกคนหนึ่ง

๐ การผลิตครั้งที่มีของเสียน้อยที่สุด คือ สายการผลิตที่ 2 และ คนที่ไม่เคยทำของเสียเลยคือ

คุณ B ในสายการผลิตนั้น

๐ การบริหารงานครั้งที่ลูกน้องทำตามที่วางแผนมากที่สุด คือ ตอนที่ให้ลูกน้องร่วมกันวางแผนกันเอง โดยผจก. ดูอยู่ห่างๆ ลูกน้องชอบใจมากๆ

3. ค้นโดยการถามต่อไปถึง Dream นั้น เพื่อให้ได้แผน Design ที่เห็นเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น เช่น

๐ การขายที่ไปกับนักขายผู้หญิง แตกต่างจากการไปขายคนเดียว คือ

นักขายผู้หญิงจะเข้าไปคุยกับภรรยาของเจ้าของบ้าน นักขายผู้ชายจะคุยกับเจ้าของบ้าน ซึ่ง ร้อยละ 80 ภรรยาเป็นผู้ตัดสินใจซื้อ แต่ สามีเป็นคนจ่ายเงิน

๐ คุณ B ไม่เคยทำให้เกิดของเสียเลยแม้ครั้งเดียว คุณ B เพียงแค่จัดวางชิ้นงานให้เป็นหมวดหมู่ก่อนที่จะบรรจุลงในแบบ แล้วบรรจุลงตามขั้นตอนที่คุณ B คิดขึ้นมาเอง แต่ก็ไม่เคยเกิดของเสียเลยสักครั้งเดียว

๐ การวางแผนครั้งนั้น ผจก.ให้ลูกน้องวางเป้าหมายกันเอง วางแผนงานตามเป้าหมายนั้นด้วยตนเอง โดยให้คิดและวาดเป็นภาพ ให้เห็นได้ชัดเจน โดยไม่ได้เตรียมการกันมาก่อน ทำให้ลูกน้องกระตือรือร้นในการวางแผนและอยากทำให้เป็นไปตามแผนของตนที่สุด

4. เมื่อรู้วิธีการจากการ Design ก็เป็นคราวของการลงมือทำให้เสร็จ Destiny

๐ ฝ่ายขายพัฒนากลยุทธ์การขายโดยให้ นักขายชาย-หญิง ประกบคู่กันไปขาย

หลังจากนั้น 1 เดือน มาวัดผลยอดขายเพิ่มขึ้น 50%

๐ ฝ่ายผลิตพัฒนากลยุทธ์การผลิตโดย ถ่ายทอดวิธีการจัดวางชิ้นงานของคุณ B ให้กับฝ่ายผลิตทุกคนทำตาม หลังจากนั้น 1 เดือน มาวัดผลของเสียลดลง 30 %

๐ ฝ่ายบริหารพัฒนากลยุทธ์การวางแผนงาน โดยให้โจทย์ลูกน้องแบบไม่ได้เตรียมตัวล่วงหน้า ให้วางเป้าและวางแผนกันเองภายในงานประชุมนั้น ส่งผลให้มีผลงานเป็นไปตามเป้าเพิ่มขึ้น 80% หลังจากเปลี่ยนวิธีการ 1 ปี

ตัวอย่างหลักแนวคิด Appreciative Inquiry ประยุกต์ใช้กับ การบริหารคน

ไม่ได้มองที่เป้าหมายของหน่วยงานมาก่อน แต่มองที่ประสบการณ์ของคนที่ทำงานในหน่วยงาน

ว่าในงานของเขา เขามีประสบการณ์ทำงานที่ผ่านมาที่ดีที่สุด อยู่ตรงจุดไหน สามารถพัฒนาให้เข้าใกล้อุดมคติได้มากน้อยเพียงใด อาทิเช่น

คุณ C เป็นหัวหน้าฝ่ายผลิต หากจะพัฒนาฝ่ายของตนเอง เดิมเขาจะลงไปดูตารางการทำงานของแต่ละสายงานผลิต ไปค้นหาว่าสายงานผลิตไหน ผลิตไม่ตรงตามเป้าที่เขาวางเอาไว้ จากนั้นก็เข้าไปดูว่า เกิดปัญหาที่ตรงส่วนไหน ใครเป็นผู้รับผิดชอบ เขาก็ไปพบ

คุณ B เขาผลิตสินค้าเสียสูงถึง 6.5 % ของสินค้าทั้งหมด ทำให้สายงานของเขาสอบตก

แต่นี่เป็นการพัฒนาองค์กรยุคเก่า ยุคใหม่นั้นแค่พลิกมุมมองเท่านั้น

--------

คุณ C เป็นหัวหน้าฝ่ายผลิต จะพัฒนาฝ่ายของตนเอง เขาลงไปดูตารางการทำงานของแต่ละสายงานผลิต เขาค้นพบว่า สายงานไหนผลิตสินค้าได้ดีเยี่ยมที่สุด ทั้งปริมาณและคุณภาพ

จากนั้นเขาไปค้นพบคนที่ทำงานได้ดีที่สุด เพื่อไปเรียนรู้ นำความรู้ไปถ่ายทอดให้สายงานอื่นทำด้วย เขาไปค้นพบ What Work ของสายการผลิต คือ

คุณ B เขาไม่เคยทำของเสียมาก่อนเลยตั้งแต่ทำงานมา คุณ C ไปค้นหาเชิงบวกต่อ และพบว่า ก่อนที่คุณ B จะทำงาน เขาแยกประเภทชิ้นส่วนตามสีของป้ายก่อน ทำให้ในเวลาที่ประกอบ เขาประกอบตามสีของป้าย ลดระยะเวลาค้นหาชิ้นส่วนลงไป ทั้งยังแก้ปัญหาการวางชิ้นส่วนไม่ถูกต้องด้วย

คุณ C ไม่รอช้า นัดประชุมพนักงานผลิตทุกคน มาดูการสาธิตการแยกประเภทชิ้นส่วนตามสีของป้าย ของคุณ B ทำให้ทั้งสายการผลิต ผลิตสินค้าได้เพิ่มขึ้น 1.5 เท่าตัว