Appreciative Inquiry (AI)

Appreciative Inquiry (AI)

หากเรากล่าวถึง “การพัฒนา” คำที่มีความหมายใกล้เคียงมากที่สุดก็คือคำว่า “การเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น”

จะดีเพียงใดหากเราสามารถ “พัฒนาการทำงาน” ในแต่ละวันให้ดีขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็น ทำงานได้เร็วขึ้น ทำงานได้ผลลัพธ์มากขึ้น ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพียงแค่เรา “ใส่ใจ” ในรายละเอียดเล็กๆ ของงานที่เราทำทุกวัน เท่านั้นเอง

Appreciative Inquiry (AI)

เป็นแนวความคิดในการ “พัฒนาองค์กร (OD)” ที่จะช่วย พัฒนาคนทำงานให้ทำงานได้ดีขึ้น และ พัฒนาผู้บริหารให้บริหารงานได้ดีขึ้นเช่นกัน โดยการเปิดมุมมองด้านบวก ให้เราได้เรียนรู้ว่าสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เพื่อนร่วมงาน ลูกน้อง หัวหน้า สิ่งแวดล้อม รอบๆ ตัวเราว่า สามารถนำสิ่งดีๆ เหล่านี้มา “พัฒนา” ได้อย่างไร โดยไม่จำเป็นจะต้องไป “ร่ำเรียนวิชา” จากที่ใดๆ เลย แม้แต่น้อย

AI ใช้ชื่อภาษาไทยว่า สุนทรียสาธก แปล ได้ดังนี้

Appreciative แปลว่า ความรู้สึกยินดี รู้สึกดี รู้สึกมีความสุข ประทับใจ

Inquiry แปลว่า การค้นหา การสอบถาม หาความจริง หารายละเอียด

หมายความว่า การค้นหารายละเอียดในเรื่องที่ดี เรื่องที่มีความสุข โดยอยู่บนความเชื่อที่ว่า

"มีสิ่งดีๆ ซ่อนอยู่รอบๆ ตัวของเราเสมอ ไม่ว่าจะเป็น คน สัตว์ พืช สิ่งของ อารมณ์ ความรู้สึก

รวมไปถึงประสบการณ์ในอดีตของสิ่งเหล่านั้น ก็มีสิ่งดีๆ อยู่

เพียงแค่รู้จักวิธีการค้นหาสิ่งดีๆ เหล่านั้นมาใช้งานเท่านั้นเอง"

กล่าวคือ AI ใช้ในการค้นหาเรื่องราวดีๆ เชิงบวกในทุกๆ สิ่งรอบๆ ตัวเรา ในเรื่องที่เราสนใจใคร่รู้ หรือเรียกง่ายๆ ว่า “การค้นหา what work” นั่นเอง

Appreciative Inquiry (AI)

ค้นพบโดย ท่านอาจารย์ David Cooperrider ศาสตราจารย์ด้านพฤติกรรมองค์กร (Organization Behavior) ของ คณะ Weatherhead School of Management ที่ มหาวิทยาลัย Case Western Reserve และ เป็น Faculty Director ที่ the Center for Business as an Agent of World Benefit

What Work ตามการอธิบายความหมายของ AI

หากจะให้อธิบายเรื่อง AI ผมคงต้องบรรยาย 3 วัน 3 คืนเพื่อให้ครบตั้งแต่ประวัติ ความเป็นมา วิธีคิด การเปลี่ยนแปลงวิธีคิด และ วิธีการ เป็นแน่ ผมยกตัวอย่างให้เห็นภาพไปเลยแล้วกันนะครับ เริ่มจากยกตัวอย่าง

คุณ A, คุณ B และ คุณ C ไม่ว่าเขาจะทำงานอะไร ทำงานภาครัฐ ภาคเอกชน ทำธุรกิจส่วนตัว หรือ ทำอาชีพใดๆ ก็ตาม สิ่งที่เขาจะต้องพบทุกวันในการทำงานของเขา คือ ปัญหา ครับ

ตัว ปัญหา เองมันมาพร้อมๆ กับการทำงานครับ เมื่อใดทำงาน ย่อมต้องเจอกับมัน ไม่วันใดก็วันหนึ่งครับ ปัญหามีหลายนิยามนะครับ ผมยกมา 2 นิยามใหญ่ๆ ได้แก่

1.ปัญหา คือ ช่องว่างระหว่าง ผลงานที่ควรจะเป็น กับ ผลงานที่เกิดขึ้น เช่น

คุณ A เป็นพนักงานขาย ต้องขาย สินค้าให้ได้สัปดาห์ละ 5 เครื่องตามเป้าที่ควรเป็น แต่คุณ A ขายได้เพียง 3 เครื่องเท่านั้น ทำให้เกิด “ปัญหา” ขึ้นแน่นอน หรือ

คุณ B อยู่ฝ่ายผลิตสินค้า ต้องผลิต ชิ้นส่วนของสินค้าเสียระหว่างผลิตไม่เกิน 5 % จากทั้งหมด แต่คุณ B ผลิตเสียไป 6.5 % จากสินค้าทั้งหมด ก็เกิด “ปัญหา” ขึ้นนะครับ

ปัญหา จะสิ้นสุดไป เมื่อผลงานที่เกิดขึ้น เท่ากับ ผลงานที่ควรจะเป็น ครับ

แสดงว่า ผลงานในข้อนี้ มีข้อจำกัดที่ ตัวผลงานที่ควรจะเป็น จริงไหมครับ

แล้วหากจริงๆ แล้ว คุณ A เขาสามารถทำงานได้มากกว่านั้นละครับ

2.ปัญหา คือ ช่องว่างระหว่าง ผลงานที่เคยเกิดขึ้นจริง ขึ้นไปไม่มีขีดจำกัด เช่น

คุณ A เป็นพนักงานขาย เคยขายได้ สูงสุดสัปดาห์ละ 6 เครื่อง แสดงว่าเคยทำเกินเป้าที่ควรจะเป็นด้วย เขาจึงคุยกับหัวหน้าฝ่ายขาย แล้วตั้งเป้าร่วมกันว่า ทุกๆ เดือนเขาจะหาวิธีขายสินค้าให้ได้มากขึ้นกว่านี้ขึ้นไปอีก ๆ ๆ และก็อีก

คุณ B อยู่ฝ่ายผลิตสินค้า เคยทำ ให้ชิ้นส่วนของสินค้าเสียระหว่างผลิตไม่เกิน 3 % จากทั้งหมด น้อยกว่าเป้าที่ตั้งไว้แล้ว และคุณ B จึงตั้งเป้าใหม่จะต้องทำให้ของเสียน้อยลงกว่านี้ในทุกๆ รอบการผลิต และ จะค้นหาวิธีการเพิ่มความเร็วในการผลิตให้ได้มากขึ้นอีกด้วย

ในกรณีที่ 2 นี้ ให้เรานิยามคำว่า ปัญหาเสียใหม่ว่า What Work หรือก็คือการทำให้ผลงานดีขึ้นไปกว่านี้โดยไม่มีข้อจำกัดทางด้านเป้าหมายที่ตั้งไว้ เปรียบเสมือน การมองข้าม “ปัญหา” แล้วแสวงหาวิธีการในการทำให้ดีขึ้น

บางสำนักเรียกว่า Quality Improvement บางสำนักเรียกว่า นวัตกรรม (Innovation)

แต่สำนัก AI เรียกว่า การวิจัยเชิงปฏิบัติการณ์โดยการค้นหาวิธีการที่ดีที่สุด เรียกสั้นๆ ว่า “การหา What Work”

จากคำนิยามที่เปลี่ยนมุมมองไป ของคำว่า “ปัญหา” เพียงคำเดียว คือ

1.ปัญหา คือ ช่องว่างระหว่าง ผลงานที่ควรจะเป็น กับ ผลงานจริง

2.ปัญหา คือ ช่องว่างระหว่าง ผลงานที่เคยเกิดขึ้นจริง ขึ้นไปไม่มีขีดจำกัด

เพียงแค่เปลี่ยนมุมมองของ “ปัญหา” ใหม่ เราก็จะได้วิธีการใน “การพัฒนาองค์กร” แทนที่จะเป็นเพียงแค่ “การบริหาร” เท่านั้น