ระบอบปฏิวัติ 2502

ประเด็นข่าวทหารยึดสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในสถานการณ์รัฐประหาร ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอันใด
ยกตัวอย่างการรัฐประหารที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2501 ภายใต้การนำของ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้นำมาซึ่งคำว่า "ระบอบปฏิวัติ" และ "ประชาธิปไตยแบบไทย"
การรัฐประหารครั้งนั้น เกิดขึ้นเนื่องจากจอมพลสฤษดิ์ ไม่นิยมระบอบเลือกตั้ง เพราะเห็นว่ามันเป็นความวุ่นวาย เนื่องจาก ส.ส. ไม่มีวินัยเช่นทหาร
เมื่อมีการประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ.2502 ซึ่งเป็นสิ่งที่จอมพลสฤษดิ์ เรียกว่า "ระบอบปฏิวัติ" กล่าวคือระบอบที่อาศัยรัฐสภาที่มาจากการแต่งตั้งทั้งหมด โดยไม่มีการเลือกตั้งเลย
เนื่องจากสภาแต่งตั้งมาจากทหารและข้าราชการประจำนั้น มีวินัย และสามารถควบคุมได้ตามปรารถนา
จึงได้มีการจัดตั้ง "สภาร่างรัฐธรรมนูญ" ซึ่งจะทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และเป็นสภานิติบัญญัติ
วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2502 "คณะปฏิวัติ" ประกาศตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญจำนวน 240 คน เป็นสภาทหารและข้าราชการเกือบทั้งหมด
มีนายทหารประจำการเป็นสมาชิกสภาฯ มากถึง 150 คนในจำนวนนี้เป็นทหารบก 104 คน
เหตุที่ทหารบกเป็นสมาชิกสภาฯ มากกว่าเหล่าทัพอื่น เพราะเป็นกำลังหลักของการทำรัฐประหาร โดยเฉพาะนายทหารจากกองพลที่ 1
จะเรียกว่าเป็นการตอบแทนบรรดาขุนพลแก้วก็ว่าได้ ซึ่งในการรัฐประหารก่อนหน้านั้น ก็ทำปฏิบัติสืบต่อกันมาเช่นนี้
ต่อมา สภาร่างรัฐธรรมนูญหรือ สนช. ได้เลือก พล.อ.สุทธิ สุทธิสารรณกร รองผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ และมีรองประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ 2 คน คือ สัญญา ธรรมศักดิ์ และทวี บุณยเกตุ
วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2502 สภาร่างรัฐธรรมนูญลงมติให้จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ หัวหน้าคณะปฏิวัติเป็น นายกรัฐมนตรี
วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2502 จอมพลสฤษดิ์ ตั้งคณะรัฐมนตรีซึ่งมีจำนวน 14 คน โดยไม่มีการแต่งตั้งรัฐมนตรีช่วยว่าการ รัฐมนตรีเป็นข้าราชการทั้งหมด
มีรัฐมนตรีคนเดียวที่เคยเป็น ส.ส. คือ โชติ คุณะเกษม ซึ่งในขณะนั้นเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย โดยได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
พล.อ.ถนอม กิตติขจร (ยศขณะนั้น) เป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ เป็นรองนายกรัฐมนตรี สุนทร หงส์ลดารมภ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐการ
พล.ท.ประภาส จารุเสถียร (ยศขณะนั้น) เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ม.ล.ปิ่น มาลากุล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และ ถนัด คอมันตร์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ส่วนจอมพลสฤษดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมกับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก และอธิบดีกรมตำรวจ
ในการปกครอง จอมพลสฤษดิ์ ได้มีการยกเลิกการเลือกตั้งในทุกระดับ แม้กระทั่งในระดับท้องถิ่นก็ได้ให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้งผู้บริหารเทศบาล สุขาภิบาลทั้งหมด
ในด้านการบริหาร จอมพลสฤษดิ์ได้ปรับปรุงระบบราชการโดยตั้งสำนักนายกรัฐมนตรี และให้หลวงวิจิตรวาทการ รับตำแหน่งปลัดบัญชาการสำนักนายก โอนให้หน่วยงานจำเป็นและสำคัญมาขึ้นกับสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อเปิดโอกาสและส่งเสริมข้าราชการในการนำเสนอนโยบายและนำไปปฏิบัติ
ดังนั้นในสมัยจอมพลสฤษดิ์ จึงเป็นยุคทองของข้าราชการ!
เรื่องที่เล่ามาข้างต้นนี้เกิดขึ้นในประเทศไทยเมื่อ 50 กว่าปีก่อน หลายคนอาจหลงลืมไปแล้ว จึงนำมาเล่าใหม่ให้ฟังกันพอเพลิดเพลิน
สำหรับ พ.ศ.ปัจจุบัน การเมืองไทยจะบ่ายหน้าไปทิศทางใด ก็ขึ้นอยู่กับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ย้ำแล้วย้ำอีกว่า "ให้ไว้ใจพวกผม"







