มนุษย์พันธุ์ใหม่และการกลายพันธุ์ในยุคดิจิทัล

มนุษย์พันธุ์ใหม่และการกลายพันธุ์ในยุคดิจิทัล

หากใครที่เคยดูภาพยนตร์เรื่อง X-Men หรือชื่อภาษาไทยว่า ศึกมนุษย์พลังเหนือโลก คงจะพอนึกภาพเหล่ามนุษย์ที่ถือกำเนิดมาบนโลกพร้อมกับพลังพิเศษ

และรูปร่างหน้าตาที่แตกต่างไปจากมนุษย์ทั่วไปที่ถูกเรียกว่า “มนุษย์กลายพันธุ์” หรือ “มิวแทนท์” (mutant) ตัวละครที่มีบทบาทสำคัญ เช่น ไซคลอปส์ เจ้าของดวงตามหาประลัย ที่สามารถฉายลำแสงพิฆาตออกมา, สตอร์ม หญิงสาวผู้ควบคุมลมฟ้าดังใจนึก, โร้ก ผู้สามารถดูดพลังจากทุกคนที่เธอสัมผัส ศาสตราจารย์ X ผู้มีญาณสัมผัสพิเศษในการหยั่งรู้และรักสันติภาพ ฯลฯ และด้วยการดูแลของศาสตราจารย์ซาเวียร์ (ศาสตราจารย์ X) ทำให้มนุษย์กลายพันธุ์เหล่านี้เรียนรู้ที่จะควบคุมพลังพิเศษ และปกป้องมวลมนุษยชาติท่ามกลางการรุกรานของแม็กนีโต้ มนุษย์กลายพันธุ์ผู้ซึ่งสามารถบังคับโลหะได้ทุกชนิด และต้องการรวบรวมมนุษย์กลายพันธุ์ฝ่ายตรงข้ามเพื่อยึดครองโลกมนุษย์ นี้คือเรื่องราวที่ผู้เขียนและผู้กำกับได้จินตนาการเกี่ยวกับมนุษย์กลายพันธุ์ไว้อย่างตื่นเต้นเร้าใจและชวนติดตาม

อันที่จริงแล้ว มนุษย์กลายพันธุ์ในโลกความเป็นจริงนั้นอาจไม่ได้มีพลังพิเศษมากมายมหาศาล หรือรูปร่างหน้าตาที่แตกต่างไปจากคนทั่วไปเหมือนเช่นในภาพยนตร์ X-Men ที่มีพลังพิเศษและรูปร่างหน้าตาสุดล้ำอลังการ แต่อาจจะมีเพียงความพิเศษทางพันธุกรรมบางอย่างที่แตกต่างไปจากบรรพบุรุษ เช่น มียีนส์ หรือโครโมโซมที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งสาเหตุของการกลายพันธุ์ของมนุษย์อาจเกิดจากหลากหลายปัจจัย เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ เคมี และชีวภาพที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรม ทำให้การเปลี่ยนแปลงรูปร่างโครงสร้างของยีนและโครโมโซม เนื่องจาก การขาดหายไป (deletion หรือ deficiency) ของส่วนใดส่วนหนึ่งของโครโมโซมทำให้ยีนขาดหายไปด้วย การเพิ่มขึ้นมา (duplication) โดยส่วนใดส่วนหนึ่งของโครโมโซมเพิ่มขึ้นมามากกว่าที่มีอยู่ปกติ การเปลี่ยนตำแหน่งทิศทาง (inversion) ของยีนภายในโครโมโซมเดียวกัน เนื่องจากเกิดรอยขาด 2 แห่งบนโครโมโซมและส่วนที่ขาดนั้นไม่หลุดหายไป แต่กลับต่อเข้ามาใหม่ในโครโมโซมเดิม และการเปลี่ยนสลับที่ (translocation) ระหว่างโครโมโซมที่ไม่ใช่พวกเดียวกัน (http://th.wikipedia.org) โดยส่วนใหญ่การกลายพันธุ์มักจะเกิดขึ้นตามธรรมชาติและเป็นขั้นตอนการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตรูปแบบหนึ่ง เรียกได้ว่าเป็นการปรับตัวเพื่อการอยู่รอดและการสืบทอดของสิ่งมีชีวิต

คำว่า “กลายพันธุ์” ได้ถูกนำมาประยุกต์ใช้ในการสื่อสารเชิงวัฒนธรรมอยู่เป็นระยะ โดยแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องก็คือ “ทฤษฎีการผสมผสานข้ามสายพันธุ์ทางวัฒนธรรม” (Cultural hybridization) ซึ่งอธิบายปรากฏการณ์กลายพันธุ์ว่า ปฏิสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมที่แตกต่างไม่จำเป็นต้องออกมาในลักษณะครอบงำเสมอไป หากแต่ควรพิจารณามิติทางวัฒนธรรมข้ามพรมแดนเหล่านั้นในแง่ของการต่อสู้/ต่อรองกันมากกว่า ทฤษฎีการผสมผสานข้ามสายพันธุ์ทางวัฒนธรรมจึงเป็นไปในทิศทางของการพบปะและผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมโลกและท้องถิ่น

นักวิชาการตะวันตกคนหนึ่งที่ให้ความสนใจเรื่อง “การต่อสู้ทางวัฒนธรรม” นี้ ได้แก่ Bhabha (1990, p. 133) นักทฤษฎีสาย Post-colonialism ที่ได้ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่า วัฒนธรรมทุกสายพันธุ์จะมีลักษณะเป็นแบบ “พันทาง” หรือ “ลูกผสม” (hybrid) ทั้งสิ้น ทั้งนี้เพราะโดยธรรมชาติแล้ว ไม่เคยมีวัฒนธรรมใดที่เป็นหนึ่งเดียว แต่ทุกวัฒนธรรมจะมีความหลากหลาย (Diverse) และแตกต่าง (Different) ที่สำคัญไม่เคยปรากฏว่ามีวัฒนธรรมใดๆ ที่สมบูรณ์ในตัว หากแต่ทุกวัฒนธรรมจะเปลี่ยนแปลงอย่างสัมพันธ์กับวัฒนธรรมอื่น ๆ ตลอดเวลา

หลักการสำคัญของแนวคิดนี้มีสองประการ คือ ประการแรก วัฒนธรรมทั้งหลายในโลกจะยั่งยืนอยู่ได้ก็ด้วยลักษณะของความเป็นพลวัต (Dynamic) และการปรับเปลี่ยนตลอดเวลา และประการที่สอง เส้นทางการพบกันระหว่างวัฒนธรรมโลกและวัฒนธรรมท้องถิ่นไม่เคยเป็นไปในทิศทางเดียว หรือไม่ใช่จะมีเพียงลักษณะการครอบงำความเป็นโลกเข้าสู่ท้องถิ่นเท่านั้น ทว่าปฏิสัมพันธ์ดังกล่าวน่าจะเป็นแบบสองทาง หรือเป็นแบบ “ซึ่งกันและกัน” สัมพันธภาพแห่งวัฒนธรรมจะสามารถก่อรูปลักษณ์ได้หลายรูปแบบ เช่น การผสมผสาน (Articulation) การแลกเปลี่ยน (Exchange) การขัดแย้ง (Conflict) การเลือกบางเสี้ยวบางส่วน (co-optation) และการต่อรอง (Negotiation) เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ ปฏิสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมจึงอยู่บนพื้นฐานของ “การผสมข้ามสายพันธุ์” และเป็นพื้นที่ใหม่ของการต่อรองทางความหมายและการแสดงตัวตน (A new site of negotiation of meaning and representation)

ในอนาคตเราจะได้พบกับการผสมข้ามสายพันธุ์และการกลายพันธุ์ทางวัฒนธรรมเป็นจำนวนมาก โดยมีสาเหตุหลัก 2 ประการก็คือ ประการแรก การเปิดประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ.2558 โดยมีแนวคิดการหลอมรวมอัตลักษณ์ของทั้ง 10 ประเทศ (ไทย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ บรูไน เวียดนาม ลาว พม่า กัมพูชา) และประชากรอาเซียนกว่า 600 ล้านคน ให้กลายเป็น “อัตลักษณ์ใหม่” ที่เรียกว่า “One Asian One Identity” ภายใต้สภาวการณ์ดังกล่าวย่อมส่งผลต่อการกลายพันธุ์ทั้งทางวัฒนธรรมและทางชาติพันธุ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งตัวผู้เขียนมองว่า ประเด็นที่สำคัญของกลุ่มประชาคมอาเซียนคงไม่ใช่ที่การกลายพันธุ์ แต่น่าจะอยู่ที่จะร่วมกันอย่างเข้าใจได้อย่างไร หากแต่ประเทศสมาชิกในกลุ่มประชาคมอาเซียนไม่มีการเตรียมความพร้อมและการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ย่อมจะนำไปสู่ปัญหาความขัดแย้งทั้งในระดับบุคคลและระดับประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ประการที่สอง การพัฒนาของเทคโนโลยีการสื่อสารในยุคดิจิทัล ซึ่งการเกิดขึ้นของสื่อใหม่ (New media) เช่น สมาร์ทโฟน ไอแพด แท็บเล็ต และสื่อสังคมออนไลน์ (Social media) เช่น เฟซบุ๊ค ยูทูป ได้เชื่อมโยงคนทั้งโลกเข้าไว้ด้วยกัน เราสามารถติดตามข่าวสารข้อมูลของคนต่างเชื้อชาติและวัฒนธรรมที่อยู่อีกซีกโลกได้อย่างง่ายดายผ่านโลกออนไลน์ หรือสัมผัสประสบการณ์ร่วมกับคนต่างชาติและต่างภาษาได้ทางทีวีดาวเทียม หรือ โซเชียลมีเดีย จึงอาจกล่าวได้ว่า มนุษย์ในยุคดิจิทัลสามารถหลอมรวมวัฒนธรรมที่แตกต่างเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างง่ายดายด้วยการเรียนรู้และติดตามข้อมูลต่างๆ ผ่านทางอินเทอร์เน็ต ส่งผลให้การกลายพันธุ์ทางวัฒนธรรมสามารถเกิดขึ้นได้ง่ายเพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส ยกตัวอย่างเช่น การแต่งกายที่ผสมผสานวัฒนธรรมท้องถิ่นกับสากล อาหารต่างชาติรสชาติแบบไทย หรือ อาหารไทยแต่สไตล์ยุโรป เป็นต้น

ในอนาคตผู้เขียนมองว่า มนุษย์ในยุคดิจิทัลไม่สามารถปฏิเสธการกลายพันธุ์ทางวัฒนธรรมได้ แต่การกลายพันธุ์ที่จะเกิดขึ้นอาจมีจุดหมายในการสร้างตัวตนใหม่ หรือ อัตลักษณ์ที่ชัดเจนของคนรุ่นใหม่ในเจนเนอเรชั่นใหม่ขึ้น เพื่อจะได้กล่าวประโยคสำคัญเหมือนกับ “มนุษย์กลายพันธุ์” หรือ “มิวแทนท์” (mutant) ในหนัง X-Men ที่กล่าวไว้ว่า “ภูมิใจที่กลายพันธุ์” และเมื่อกลายพันธุ์แล้วจะปกป้อง หรือทำลายมนุษย์พันธุ์แท้ก็ค่อยมาว่ากันอีกที