คอร์รัปชันไม่มีวันหมดไป

คอร์รัปชันไม่มีวันหมดไป

ชื่อเรื่องที่ผู้เขียนตั้งขึ้นมาอาจจะดูว่า “ขวางโลก” ไปบ้าง เพราะหากไปพูดจาแบบนี้เข้ากับรัฐบาลหรือหน่วยงานที่ทำหน้าที่ต่อต้าน

หรือปราบปรามการคอร์รัปชันเข้าแล้ว ก็คงจะไปทำร้ายจิตใจคนทำงานด้านนี้อยู่ไม่น้อย

จะว่าไปแล้วคอร์รัปชันนั้นแทบจะเป็น “สันดาน” ของมนุษย์เลยก็ว่าได้ เพราะถ้าเราเชื่อในฐานคิดที่ว่ามนุษย์ทุกคนนั้นพร้อมที่จะ “ทำดีหรือทำชั่ว” ได้เท่าๆ กันแล้ว คอร์รัปชัน คือ ตัวแทนของการใช้ “โอกาส” ที่จะกระทำชั่วจนทำให้สังคมเสียหายมากมายมหาศาล

ในมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์แล้ว พวกเขามองว่าการคอร์รัปชันเป็นการบิดเบือนการใช้ทรัพยากร ขัดขวางการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและสุดท้ายมันไปทำลายโอกาสในการกระจายรายได้และการเข้าถึงการใช้ทรัพยากรของคนในสังคม

อย่างไรก็ดี นักเศรษฐศาสตร์ก็ยังมองว่าการจะต่อสู้หรือปราบปรามการคอร์รัปชันให้หมดไปนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะมี “ต้นทุนในการควบคุมและบังคับใช้กฎหมาย” (Cost of Controlling and Enforcement) ซึ่งต้นทุนที่ว่ามานี้สูงมาก เพราะหากต้องการให้อัตราการคอร์รัปชันเป็นศูนย์จริงๆ รัฐจะต้องเสียเงินงบประมาณจำนวนมากในการตรวจจับและลงโทษผู้กระทำการคอร์รัปชันทั้งในระดับใหญ่และระดับเล็ก

แต่ก็น่าคิดนะครับว่า ต้นทุนการควบคุมและการบังคับใช้กฎหมายเหล่านี้มันจะ “คุ้มค่า” กับการแก้ปัญหาการคอร์รัปชันในแต่ละระดับได้จริงหรือเปล่า

อาทิ เคยมีตัวอย่างคดีชี้มูลการทุจริตที่ ป.ป.ช. เคยชี้มูลความผิดเกี่ยวกับยักยอกรายได้จากการขายตั๋วรถเมล์ที่มีมูลค่าความเสียหายเพียง 8 บาทเท่านั้น! ซึ่งคำถามที่น่าคิดก็คือคดีแบบนี้มันสมเหตุสมผลแล้วหรือไม่ที่สังคมเราควรจะระดมสรรพกำลังในการเข้าไปตรวจสอบเพื่อค้นหาว่าสังคมเสียหายจากการที่กระเป๋าหรือกระปี๋รถเมล์ยักยอกเงินไปเพียง 8 บาท ขณะที่โครงการระดับร้อยล้านพันล้านที่มีแต่ข่าวอื้อฉาวรายวันนั้นกลับกลายเป็นเรื่องที่ “เงียบฉี่” ไป

สำหรับแนวทางการต่อสู้กับการทุจริตคอร์รัปชัน (Anti-corruption Approach) มีตั้งแต่การให้ผลตอบแทนหรือรางวัลซึ่งในภาษาคนทำวิจัยด้านคอร์รัปชันเรียกว่า Carrot Approach (การให้รางวัลเพื่อให้คนมีแรงจูงใจที่จะไม่คอร์รัปชัน) แนวทางนี้เป็นการใช้แรงจูงใจในการป้องปรามไม่ว่าจะเป็นเรื่องการให้โบนัส การเพิ่มเงินเดือนสูงๆ ให้กับคนที่มีโอกาสจะก่อเหตุทุจริตหรือใช้อำนาจไปในทางที่ผิดนอกจากนี้ยังรวมไปถึงการใช้เรื่อง “สินบนนำจับ” มาเป็นรางวัลในการช่วยกันสอดส่องต่อต้านการคอร์รัปชัน (ปัจจุบันกฎหมาย ป.ป.ช. ปี 2542 มาตรา 30 ได้กล่าวถึงการให้เงินรางวัลหรือสินบนแก่ผู้แจ้งเบาะแสหรือให้ข้อมูลกรณีที่เจ้าหน้าที่รัฐร่ำรวยผิดปกติ)

ขณะที่การต่อต้านคอร์รัปชันอีกแนวทางหนึ่งนั้น นักวิจัยด้านคอร์รัปชันเรียกว่า Stick Approach (การใช้ไม้แข็ง) โดยเฉพาะการนำกฎหมายมาบังคับใช้ตั้งแต่การเพิ่มอัตราโทษการคอร์รัปชันให้รุนแรงขึ้น การตรวจสอบอย่างเข้มข้น หรือการออกกฎหมายเพื่อล้อมกรอบบังคับใช้ไม่ให้คนที่คิดจะกระทำการทุจริตนั้นเกรงกลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะคิด

แม้ว่าเราจะมีแนวทางการต่อต้านการทุจริตทั้งไม้นวมและไม้แข็ง แต่จนแล้วจนรอด สถานการณ์คอร์รัปชันทั่วทั้งโลกก็ยังอยู่ในระดับที่น่าเป็นห่วง โดยเฉพาะหากเราใช้ดัชนีชี้วัดการคอร์รัปชันระดับโลก (Corruption Perception Index: CPI) ขององค์กรTransparency International เป็นเกณฑ์ชี้วัดแล้ว เราจะพบว่ามีเพียงไม่กี่สิบประเทศเท่านั้นที่มีระดับความโปร่งใสในสังคมนั้นปลอดจากโอกาสที่จะเกิดการทุจริต

ทุกวันนี้นักวิชาการด้านคอร์รัปชันศึกษาพยายามจัดประเภทการคอร์รัปชันตามแต่หลักเกณฑ์ต่างๆ ที่นำมาแบ่ง เช่น ถ้านำเรื่องขนาดของการคอร์รัปชันมาอธิบาย เราจะแบ่งการคอร์รัปชันออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ Petty Corruption (คอร์รัปชันระดับเล็ก) และ Grand Corruption (คอร์รัปชันระดับใหญ่)

Petty Corruption นั้นพบเห็นได้ทั่วไป เช่น การพยายามเสนอเงินให้กับตำรวจจราจรเพื่อไม่ต้องเขียนใบสั่งให้กับเราในเวลาที่เราขับรถผิดกฎจราจร ซึ่งการคอร์รัปชันลักษณะนี้จัดอยู่ในรูปแบบที่เรียกว่า Corruption with Theft หรือคอร์รัปชันโดยโจรในคราบเจ้าหน้าที่รัฐ คอร์รัปชันแบบนี้มักเป็นประเภทการจ่าย “ส่วย” หรือเงินสินบนให้เจ้าหน้าที่รัฐ

ขณะที่ Corruption without Theft หรือคอร์รัปชันที่ไม่ได้เหมือนถูกปล้นไปโต้งๆ ตรงๆ นั้นเงินสินบนที่คนจ่ายสินบนไปแล้วจะไปบวกรวมอยู่ในงบประมาณต่างๆ ของโครงการด้วยทำให้ต้นทุนโครงการต่างๆ ของรัฐแพงกว่าที่ควรจะเป็น คอร์รัปชันลักษณะนี้เราจะไม่รู้สึกตัวเหมือนถูกปล้นเพราะเราไม่ถูกเรียกเก็บส่วยแต่อันที่จริงแล้วเราถูกปล้นแบบนิ่มๆ จากการที่รัฐบาลของเราต้องจ่ายเงินไปในราคาแพงในการได้มาซึ่งข้าวของต่างๆ ซึ่งการคอร์รัปชันแบบนี้มักจะพบได้ใน Grand Corruption

Grand Corruption พบได้เสมอในโครงการของรัฐโดยเฉพาะในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง (Corruption in Public Procurement) ซึ่งมักปรากฏเรื่องอื้อฉาวมากที่สุดตามหน้าหนังสือพิมพ์ เช่น การจัดซื้อถุงยังชีพ หรือการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดหรือ GT200 อันโด่งดัง

การคอร์รัปชันลักษณะนี้จะมีตัวละครสามกลุ่มที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ได้แก่ นักการเมือง พ่อค้าและข้าราชการ โดยการรวมตัวของคนทั้งสามกลุ่มนี้เรียกว่า Iron Triangle (สามเหลี่ยมเหล็ก) ที่ทำให้การคอร์รัปชันนั้นแข็งแกร่งขึ้นผลประโยชน์ต่างตอบแทนของทั้งสามกลุ่มนี้ทำให้การคอร์รัปชันกลายเป็นปัญหาที่ดูเหมือนจะแก้ไขได้ยากจนถึงยากที่สุด เพราะเอาเข้าจริงแล้วมันเกี่ยวพันกันไปหมด

ทั้งหมดที่ว่ามานี้ดูเหมือนว่าปัญหาการคอร์รัปชันได้สะท้อนให้เห็นถึงสันดานของมนุษย์ที่แท้ เพราะแต่ละคนย่อมเห็นแก่ประโยชน์ของตัวเองหรือพรรคพวกของตนเองก่อนที่จะคำนึงถึงความเสียหายของผลประโยชน์ส่วนรวม

ดังนั้น การต่อสู้กับการคอร์รัปชันจึงเป็นเรื่องของการต่อสู้กับ “กิเลส” ของมนุษย์ ซึ่งแม้ว่าจะเป็นการยากที่จะกวาดล้างการคอร์รัปชันให้หมดสิ้นไป แต่ก็ยังคงจำเป็นต้องหาทางจำกัดการคอร์รัปชันให้อยู่ภายในขอบเขตที่เหมาะสม ไม่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในที่สุด

อนึ่ง บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ไม่เกี่ยวกับหน่วยงานต้นสังกัด