หลักการตีความกฎหมาย: จะดูถ้อยหรือดูความ

หลักการตีความกฎหมาย:  จะดูถ้อยหรือดูความ

กรณีที่นายชัยเกษม นิติสิริ รักษาการ รมว.ยุติธรรม ได้กล่าวแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับศาลรัฐธรรมนูญและหลักการวินิจฉัยกฎหมายว่า

ถ้า “ศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าสิ้นสภาพ ตนก็ต้องฟัง แต่สิ่งที่ผ่านๆ มาหลายครั้ง ไม่เห็นด้วยกับศาลรัฐธรรมนูญ บางเรื่องข้อความชัดๆ ยังตีความไปอีกแบบหนึ่ง แต่กฎหมายบอกให้ฟังศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ยกตัวอย่าง บ้านตนเลี้ยงสุนัข ศาลรัฐธรรมนูญบอกว่า บ้านเขาไม่ได้เรียกสุนัข แต่เรียกสุกร ตนก็เลยต้องเรียกสุกรตามศาลรัฐธรรมนูญ ช่วยไม่ได้ กฎหมายเป็นอย่างนั้น (กรุงเทพธุรกิจ, 5 มีนาคม 2557)

ผู้เขียนใคร่ขอนำความเห็นเชิงวิชาการของ “ผู้ใหญ่” สองท่านมาประกอบเพื่อให้สังคมไทยได้พิจารณาใคร่ครวญและชั่งน้ำหนักผิดถูกก่อนตัดสินใจ(เชื่อ)ในเรื่องใดเรื่อง ดังนี้

ศาสตราจารย์ธานินทร์ กรัยวิเชียร (องคมนตรี): ตามปรกติเมื่อตัวบทกฎหมายมีข้อความชัดเจนอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องตีความและต้องถือว่าข้อความเหล่านั้นมีความหมายตามธรรมดาของถ้อยคำที่เข้าใจกันโดยทั่วไป แต่ถ้าบทบัญญัติของกฎหมายเคลือบคลุมหรือมีข้อความกำกวมก็ต้องค้นหาเจตนารมณ์อันแท้จริงของกฎหมายหรือของผู้บัญญัติกฎหมายเหล่านั้นให้ได้ การค้นหาเจตนารมณ์ดังกล่าวก็คือ การตีความกฎหมายนั่นเอง

ซึ่งหลักในการตีความกฎหมายไทยนั้นปรากฏอยู่ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๔วรรคหนึ่งที่ว่า “กฎหมายนั้น ต้องใช้ในบรรดากรณีซึ่งต้องด้วยบทบัญญัติใด ๆ แห่งกฎหมายตามตัวอักษร หรือตามความมุ่งหมายของบทบัญญัตินั้น ๆ”…….

การตีความกฎหมายต้องอยู่ภายใต้กรอบแห่งความหมายตามตัวอักษรและตามเจตนารมณ์ แต่จะตีความกฎหมายตามตัวอักษรเพียงอย่างเดียวให้เกินเลยหรือขัดกับเจตนารมณ์ของกฎหมายไม่ได้ และใน ทางกลับกัน ก็จะตีความกฎหมายโดยอาศัยแต่เจตนารมณ์ของกฎหมายโดยเกินเลยถ้อยคำในตัวบทไม่ได้เช่นกัน ศาลต้องพิจารณากฎหมายทั้งตามตัวอักษรและตามเจตนารมณ์ของกฎหมายไปพร้อมกัน แต่ถ้าตัวบทกฎหมายชัดเจนอยู่แล้วและไม่ปรากฏว่าผลแห่งการตีความตามตัวอักษรจะถึงขนาดเกิดผลประหลาด

หรือขัดต่อสามัญสำนึกหรือก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรม ศาลก็ไม่อาจตีความกฎหมายให้ผิดไปจากข้อ ความที่ชัดแจ้งนั้นได้ ศาลต้องถือเอาความหมายตามตัวอักษรเป็นสำคัญ และถือว่าเจตนารมณ์ของกฎหมายประสงค์จะใช้ถ้อยคำดังกล่าวตามความหมายธรรมดา

ตรงกันข้ามแม้ข้อความนั้นจะชัดแจ้ง แต่ถ้าทำให้เกิดผลประหลาดหรือขัดแย้งต่อสามัญสำนึกหรือเกิดความอยุติธรรมขึ้น ศาลก็ต้องพิจารณาถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายเป็นสำคัญ (จุลนิติ, ก.ค.-ส.ค.2553)

ศาสตราจารย์(พิเศษ)ดร. อักขราทร จุฬารัตน (อดีตประธานศาลปกครองสูงสุด): เมื่อพูดถึงการตีความกฎหมายแล้วย่อมหมายรวมถึงการใช้กฎหมาย (Application of Law) บังคับกับกรณีที่มีปัญหา จากนั้นจึงมาถึงการตีความซึ่งย่อมหมายถึงการแปลหรือให้ความหมายแก่ตัวบทกฎหมายที่จะใช้บังคับแก่เรื่องนั้น ๆ

ปัจจุบันนี้ต้องยอมรับว่าปัญหาการตีความกฎหมายเป็นปัญหาสำคัญในการบังคับใช้กฎหมายของ

ประเทศไทย สาเหตุก็คงจะมาจากการศึกษากฎหมายสมัยก่อนค่อนข้างจะหนักไปในทางแปลตัวหนังสือที่ขีดเขียนเป็นกฎหมายโดยขาดความรู้ความเข้าใจในปรัชญาของกฎหมายและศาสตร์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง การ ตีความกฎหมายถือเป็นภาคปฏิบัติของนักกฎหมาย คนที่จะนำเอากฎหมายมาประยุกต์ใช้นั้นคือนักกฎ หมาย เมื่อเกิดปัญหาขึ้นก็จะต้องตีความกฎหมายเพื่อยุติปัญหา

สมัยก่อน ๆ นี้ ส่วนใหญ่ถ้ากฎหมายชัดเจนแล้ว หรือถ้าคนส่วนใหญ่เห็นว่าชัดเจนก็จะคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหา แต่สิ่งที่บอกว่าชัดเจนในตัวหนังสือนั้น ในบางกรณีคนหนึ่งก็อาจจะมีความเห็นเป็นอย่างหนึ่งอีกคนหนึ่งก็อาจจะมีความเห็นเป็นอีกอย่างหนึ่งก็ได้ ยิ่งปัจจุบันนี้ถ้าสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นในแวดวงของกฎหมาย ก็จะมีข้อโต้แย้งในมุมมองของการแปลความหมายของถ้อยคำในตัวหนังสือที่เป็นกฎหมายที่แตกต่างกัน จนบางทีผลของความแตกต่างในการตีความกฎหมายของนักกฎหมายที่แตกต่างกันแทบไม่น่าเชื่อว่าจะแตกต่างกันชนิดขาวเป็นดำหรือดำเป็นขาว

ในสมัยจักรพรรดิของปรัสเซีย ท่านเคยสร้างประมวลกฎหมายขึ้นประกอบด้วยมาตราต่างๆ ถึง ๑๗,๐๐๐มาตรา ซึ่งท่านคิดว่าการเขียนรายละเอียดให้ชัดเจนครอบคลุมทุกอย่างคงจะขจัดการตีความลงได้ สุดท้ายก็ต้องตีความกันเหมือนกรณีทั่วไปและประมวลกฎหมายดังกล่าวก็ไม่อาจใช้ได้ตามที่ตั้งใจไว้ ในอดีตสภาพปัญหายังไม่มีความสลับซับซ้อนมากนัก ปัญหาการตีความกฎหมายจึงมีไม่มาก

แต่ในปัจจุบันเนื่องจากโลกพัฒนามากขึ้น สมัยก่อนๆ อาจจะมีปัญหาส่วนใหญ่ในความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนกับเอกชน แต่รัฐสมัยใหม่จะมีนิติสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับเอกชนเกิดขึ้นอย่างมากมายและเพิ่มมากขึ้น เพราะฉะนั้นที่พูดกันว่า “อะไรที่ชัดเจนแล้ว ก็ไม่ต้องตีความ” จึงไม่เป็นจริงในเวลานี้ เพราะฉะนั้นหลักการใช้และการตีความกฎหมายจึงเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของภาคปฏิบัติทางกฎหมาย (จุลนิติ, ก.ค.-ส.ค.2553)