นับถอยหลังสู่ AEC

ตั้งแต่ต้นปี 2557 พื้นที่ของสื่อหลายสำนักถูกจับจองไปด้วยข่าวการเมืองที่กำลังคุกรุ่นอยู่ ณ ขณะนั้น จนอาจทำให้ใครหลายคนลืมไปว่าอีกไม่ถึงปี
ประเทศไทยก็จะก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ซึ่งมียุทธศาสตร์สำคัญตามพิมพ์เขียวของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Blueprint) 4 ประการด้วยกัน อันได้แก่ 1. การเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียวกัน 2. การเป็นภูมิภาคที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันสูง 3. การเป็นภูมิภาคที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่เท่าเทียมกัน และ 4. การเป็นภูมิภาคที่มีการบูรณาการเข้ากับเศรษฐกิจโลก และเพื่อให้การปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ดังกล่าวสัมฤทธิผลดังที่ตั้งใจไว้พิมพ์เขียว AEC ก็ได้วางกรอบการปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ต่าง ๆ เอาไว้ ดังนี้
เริ่มที่ยุทธศาสตร์การดำเนินการให้ประเทศสมาชิก AEC เป็นตลาดและฐานการผลิตเดียวกัน สามารถเกิดขึ้นได้โดยการดำเนินการตาม 5 องค์ประกอบสำคัญ คือ การเปิดเสรีทางการค้าสินค้า โดยปัจจุบันมีกรอบการตกลง ASEAN Trade in Goods Agreement (ATIGA) ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 17 พฤษภาคม 2553 หลักการสำคัญของ ATIGA คือการลดภาษีให้กับสินค้าที่นำเข้ามาจากประเทศสมาชิก AEC ซึ่งหากการนำเข้าสินค้าดังกล่าวเป็นไปตามกฎว่าด้วยถิ่นกำหนดสินค้า (Rule of Origin) แล้ว ประเทศสมาชิกจะต้องลดภาษีการนำเข้าสินค้าให้เหลือร้อยละ 0 ยกเว้นแต่สินค้าที่อยู่ในหมวดสินค้าอ่อนไหวและสินค้าที่อ่อนไหวสูง
องค์ประกอบถัดมาคือการเปิดเสรีทางการค้าบริการซึ่งปัจจุบันมีกรอบความตกลงการเปิดเสรีการค้าบริการตาม ASEAN Framework Agreement on Services (AFAS) ซึ่งมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2539 โดยตามกรอบความตกลงดังกล่าวประเทศสมาชิกแต่ละประเทศมีความผูกพันที่จะต้องเจรจาเพื่อการเปิดเสรีการค้าบริการอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยจัดทำข้อผูกพันการค้าบริการเป็นชุดๆ โดยล่าสุดคือข้อผูกพันชุดที่ 8 ลงนามไปเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2553 ซึ่งมีเนื้อหาครอบคลุมประเด็นหลักคือ ให้นักลงทุนจากประเทศสมาชิกที่อยู่นอกอาณาเขตไทยสามารถให้บริการข้ามพรมแดนเข้ามาในประเทศไทยได้ และเปิดให้นักลงทุนจากประเทศในกลุ่มสมาชิกเข้ามาจัดตั้งธุรกิจการให้บริการในประเทศได้โดยให้ถือหุ้นได้จนถึงร้อยละ 70
ทั้งนี้ จะทยอยเปิดเป็นขั้นๆ ไป ซึ่งหากเป็นไปตามกำหนดการแล้ว ในปี 2557 ประเทศไทยควรจะต้องอนุญาตให้นักลงทุนจากประเทศสมาชิกลงทุนถือหุ้นได้ร้อยละ 70 ในธุรกิจบริการด้านท่องเที่ยว สุขภาพ โทรคมนาคมและคอมพิวเตอร์ ขนส่งทางอากาศ และลอจิสติกส์ และร้อยละ 51 สำหรับธุรกิจบริการที่เหลือ แต่ปรากฏว่าในความเป็นจริงแล้วการประกอบธุรกิจของชาวต่างชาติในประเทศไทยยังคงติดข้อจำกัดห้ามมิให้ชาวต่างชาติถือหุ้นเกินกึ่งหนึ่ง ตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 หรืออาจมีข้อจำกัดที่เข้มงวดกว่าตามกฎหมายกำกับดูแลธุรกิจเฉพาะด้าน อย่างเช่น พระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ.2551 หรือพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ.2535 ซึ่งกำหนดให้ต้องมีผู้ถือหุ้นสัญชาติไทยอย่างน้อยร้อยละ 75 กล่าวคือ จะมีผู้ถือหุ้นชาวต่างชาติเกินร้อยละ 25 ไม่ได้เว้นแต่จะเป็นไปตามเงื่อนไขที่อนุญาตให้ชาวต่างชาติถือหุ้นได้เกินกว่าจำนวนดังกล่าว
เหตุที่ความผูกพันระหว่างประเทศยังไม่มีผลบังคับใช้ในประเทศนั้นก็เป็นเพราะว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ยึดถือหลักทวินิยม (Dualsim) กล่าวคือ กฎหมายระหว่างประเทศ และกฎหมายภายในประเทศมีผลผูกพันแยกจากกัน การที่มีความตกลงระหว่างประเทศแล้วยังไม่มีผลผูกพันภายในประเทศจนกว่าจะมีการอนุวัติโดยการนำความตกลงระหว่างประเทศดังกล่าวมาบัญญัติขึ้นเป็นกฎหมายในประเทศ จึงทำให้ไม่ว่าจะเป็น ATIGA หรือ AFAS ต่างก็ยังไม่มีผลบังคับใช้โดยตรงในประเทศไทยนั้นเอง
ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีแนวโน้มที่จะแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับข้อจำกัดการถือหุ้นของต่างชาติ ในขณะที่เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เวียดนามได้ขยายเพดานการถือหุ้นของนักลงทุนต่างชาติที่มีศักยภาพ (strategic investor) โดยอนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติที่มีศักยภาพ (Strategic Investor) ถือหุ้นในธนาคารท้องถิ่นได้ร้อยละ 20 จากเดิมกำหนดไว้ที่ร้อยละ 15 และสำหรับการถือหุ้นของนักลงทุนต่างชาติสถาบันทั่วไป (non-strategic foreign institutional investor) ได้อนุญาตให้ถือหุ้นเพิ่มจากร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 15 ทั้งนี้ เวียดนามยังคงสัดส่วนการถือหุ้นโดยรวมของต่างชาติไว้ไม่เกินร้อยละ 30 สำหรับข้อจำกัดการถือหุ้นของนักลงทุนต่างชาติในธุรกิจอื่นนั้นรัฐบาลเวียดนามกำลังพิจารณาให้ขยายข้อจำกัดการถือหุ้นของต่างชาติในบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จากร้อยละ 49 เป็นร้อยละ 60 การผ่อนผันข้อจำกัดในการถือหุ้นดังกล่าวย่อมส่งผลเป็นการดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติในเวียดนามมากขึ้น ซึ่งย่อมส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจในเวียดนามต่อไป
เห็นการเตรียมพร้อมต้อนรับ AEC ของเพื่อนบ้านแล้ว ก็ได้แต่ลุ้นว่าการเตรียมพร้อมของประเทศไทยของเรานั้นจะเป็นอย่างไรต่อไป สำหรับการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ด้านอื่นตามพิมพ์เขียว AEC นั้น ผู้เขียนขอยกไปอธิบายในบทความตอนต่อไป สวัสดีค่ะ
-------------------
บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนอันเป็นความเห็นในทางวิชาการ และไม่ใช่ความเห็นของบริษัท อัลเลน แอนด์ โอเวอรี่ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ผู้เขียนทำงานอยู่







