กฎหมายหมิ่นประมาทฉบับใหม่ของประเทศอังกฤษ

ในช่วงที่การเมืองร้อนระอุแบบนี้ ผู้อ่านคงได้เห็นนักพูดเก่งๆ หลายท่านออกมาแสดงลีลาปราศรัยกัน
ทุกครั้งที่นักพูด พูดอะไรออกไปก็อาจจะมีใครถูกกระทบ หากเขาต้องเสียหายหรืออดรนทนไม่ได้ก็อาจจะขู่ฟ้องหมิ่นประมาทกันไป
การหมิ่นประมาทเป็นความผิดที่กฎหมายบัญญัติไว้นานแล้ว ในส่วนของกฎหมายระบบคอมมอนลอว์ เรื่องหมิ่นประมาทเป็นหนึ่งในบรรดากฎหมายที่เก่าแก่มากที่สุดเรื่องหนึ่ง ซึ่งคนทั่วไปมักจะนำมาใช้หรือกล่าวอ้างกันบ่อยๆ อย่างเช่นในประเทศสหรัฐอเมริกา หรือประเทศอังกฤษก็มีการฟ้องร้องกันในข้อหาหมิ่นประมาทกันค่อนข้างมาก ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ว่า เป็นการฟ้องพร่ำเพรื่อมากจนเกินไปหรือเปล่า
วันนี้ผู้เขียนขอนำเสนอกฎหมายหมิ่นประมาทฉบับใหม่ของประเทศอังกฤษ (ไม่รวมสกอตแลนด์และไอร์แลนด์เหนือ) ซึ่งได้มีการแก้ไขเมื่อเร็วๆ นี้ เพื่อเพิ่มความยากในการฟ้องคดีหมิ่นประมาทค่ะ
ที่ผ่านมากฎหมายหมิ่นประมาทของประเทศอังกฤษได้รับการวิพากษ์วิจารณ์มากว่าเอาผิดกับผู้พูดง่ายเกินไป ในปี 2551 สภาคองเกรสของรัฐนิวยอร์กได้กล่าวประณามการใช้กฎหมายหมิ่นประมาทของประเทศอังกฤษกับคนสัญชาติอเมริกันว่าเป็นการ “ก่อการร้ายด้วยคดีหมิ่นประมาท” (libel terrorism) ต่อมาในปี 2553 สภาคองเกรสสหรัฐฯ ได้ออกกฎหมายซึ่งมีวัตถุประสงค์ชัดเจนว่าเพื่อป้องกันไม่ให้คำพิพากษาคดีหมิ่นประมาทของศาลอังกฤษได้รับการยอมรับและบังคับตามในสหรัฐอเมริกาได้
กฎหมายหมิ่นประมาท ค.ศ. 2013 (พ.ศ. 2556) ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2557 ที่ผ่านมา เป็นความพยายามปฏิรูปกฎหมายที่ซับซ้อนเรื่องนี้ครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศอังกฤษ หากจะกล่าวในภาพรวม กฎหมายฉบับนี้เป็นมิตรกับสื่อมวลชนมากขึ้นโดยให้ความสำคัญกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นมากขึ้นและทำให้การฟ้องคดีหมิ่นประมาททำได้ยากขึ้นด้วย
สาระสำคัญของการปฏิรูปกฎหมายในครั้งนี้อยู่ในมาตรา 1 ซึ่งบัญญัติว่า การฟ้องคดีหมิ่นประมาทนั้นจะไม่สามารถทำได้อีกต่อไปเว้นเสียแต่ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายแล้วหรือมีแนวโน้มว่าจะได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียงอย่างร้ายแรง หรือในกรณีขององค์กรที่ทำการค้าเพื่อผลกำไร ก็จะต้องได้รับความเสียหายหรือมีแนวโน้มว่าจะได้รับความเสียหายทางการเงินอย่างร้ายแรง ซึ่งถึงแม้ว่าก่อนหน้าที่กฎหมายฉบับนี้จะออกมาศาลอังกฤษก็ได้สร้างหลักเกณฑ์เพื่อลดคดีที่ไม่เป็นสาระไปบ้างแล้วก็ตาม ก็เป็นที่เชื่อได้ว่ากฎหมายฉบับนี้จะช่วยป้องกันและเสริมกำลังให้กับศาลในการลดคดีที่ไม่เป็นสาระลงไปได้มากขึ้นอีก
ส่วนที่สำคัญที่สุดในกฎหมายหมิ่นประมาทของประเทศอังกฤษฉบับใหม่น่าจะเป็นเรื่องข้อต่อสู้ใหม่ที่เรียกว่า “ความเห็นโดยสุจริต” (honest opinion) ซึ่งนำมาใช้แทนข้อต่อสู้ที่ใช้กันมาช้านานที่เรียกว่า “การติชมด้วยความเป็นธรรม” (fair comment) โดยข้อต่อสู้ใหม่นี้จะสามารถคุ้มครองการแสดงความเห็นที่ออกมาโดยสุจริตไม่ว่าจะในเรื่องใด ทั้งนี้ ไม่จำเป็นว่าการแสดงความเห็นนั้นจะต้องมาจากพื้นฐานของข้อเท็จจริงที่เป็นจริงเสมอไป กล่าวคือ ผู้พูดอาจจะแสดงความเห็นบนพื้นฐานของข้อเท็จจริงที่ไม่ครบถ้วนหรือผิดเพี้ยนไปบ้าง หรือบนพื้นฐานของข้อเท็จจริงที่ผู้พูดไม่ได้รับทราบและไม่ได้นำมาใช้ในการแสดงความเห็นนั้น แต่หากเป็นความคิดความเชื่อของผู้พูดว่าเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ โดยสุจริต ผู้พูดก็จะได้รับความคุ้มครอง
นอกจากนี้ในส่วนของการคุ้มครองสื่อมวลชนหรือผู้ตีพิมพ์ข้อความนั้น กฎหมายใหม่ได้กำหนดให้ความคุ้มครองแก่ผู้ที่มีส่วนในการนำข้อความที่เป็นการหมิ่นประมาทไปเผยแพร่เป็นลำดับที่สอง ได้แก่ ผู้ให้บริการพื้นที่เพื่อบรรจุเนื้อหาทางอินเทอร์เน็ต (Internet web hosting) หรือผู้ให้บริการเว็บไซต์ในกรณีที่เกี่ยวข้องกับการนำข้อความที่มีเนื้อหาเป็นการหมิ่นประมาทไปโพสต์ลงในอินเทอร์เน็ต
หากจะเปรียบเทียบเนื้อหาของกฎหมายเรื่องหมิ่นประมาทฉบับใหม่ของประเทศอังกฤษกับกฎหมายไทยแล้ว ก็มีความคล้ายคลึงกัน แต่กฎหมายของประเทศอังกฤษจะมีบทบัญญัติเพิ่มเติมเรื่องการกลั่นกรองคดีในลำดับแรกก่อนว่าศาลจะรับฟ้องได้หรือไม่ และให้ความคุ้มครองต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นมากกว่าของไทย ดังจะเห็นได้จากข้อต่อสู้ของกฎหมายอังกฤษเรื่อง “ความเห็นโดยสุจริต” ที่คุ้มครองความเห็นส่วนตัวของผู้พูด โดยไม่คำนึงถึงความเห็นของประชาชนทั่วไป ในขณะที่ของไทยเรานั้นยังใช้ข้อต่อสู้เรื่อง “การติชมด้วยความเป็นธรรม” อยู่ โดยคำนึงด้วยว่าเป็นการติชม “ซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ” ด้วยหรือไม่ กล่าวคือ กฎหมายไทยจะดูด้วยว่าการวิพากษ์วิจารณ์ที่นำมาฟ้องนั้นเป็นสิ่งที่ประชาชนทั่วไปเขาทำกันด้วยหรือไม่ ความเห็นความเชื่อส่วนบุคคลโดยสุจริตไม่เพียงพอที่จะเป็นข้อต่อสู้ให้ผู้พูดพ้นผิดได้
กล่าวโดยสรุป กฎหมายหมิ่นประมาทฉบับใหม่ของประเทศอังกฤษนี้ แสดงจุดยืนของประเทศอังกฤษในการคุ้มครองเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและลดการโจมตีผู้อื่นด้วยข้อหาหมิ่นประมาทอย่างพร่ำเพรื่อได้เป็นอย่างดี แม้ว่าในทางปฏิบัติศาลก็อาจจะประสบความยากลำบากในการตีความและบังคับใช้ข้อต่อสู้เรื่องความเห็นโดยสุจริตบ้าง แต่ก็นับว่าเป็นกฎหมายอีกฉบับที่ปฏิรูปออกมาได้ดีและได้รับความชื่นชมจากหลายๆ ประเทศ
พบกันใหม่ในโอกาสต่อไปค่ะ
บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนอันเป็นความเห็นในทางวิชาการ และไม่ใช่ความเห็นของบริษัท อัลเลน แอนด์ โอเวอรี่ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ผู้เขียนทำงานอยู่







