ตลาดหุ้นจีนดูดีขึ้นมาก

ตลาดหุ้นจีนดูดีขึ้นมาก

สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน วันที่ผมกำลังเขียนบทความชิ้นนี้ (13 ม.ค.) ผมอยู่ที่ปักกิ่ง ประเทศจีน

โดยมีโอกาสมาร่วมงาน DBAccess China Conference 2014 2014 ที่จัดโดยธนาคาร Deutsche Bank (DB) ซึ่งเป็น Strategic Partner ของบริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้

งานนี้เป็นงานประจำปีที่ DB จัดขึ้นสำหรับนักลงทุนสถาบันทั่วโลก เพื่อมารับฟังมุมมองเกี่ยวกับเศรษฐกิจและตลาดหุ้นจีน จากผู้เชี่ยวชาญและนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง ทั้งของภาครัฐและเอกชน รวมไปถึงบริษัทจดทะเบียนของจีน ซึ่งปีนี้มีบริษัทเข้าร่วมเสนอข้อมูลถึง 139 บริษัท และมีนักลงทุนมาร่วมประชุมเกือบ 900 คนจากทั่วโลก

ผมจึงขอถือโอกาสนี้เล่าให้ท่านผู้อ่านฟังเกี่ยวกับประเทศจีน แล้วเดือนหน้าค่อยกลับมาพูดเรื่องตลาดหุ้นไทยนะครับ ที่อยากเขียนถึงจีนเพราะนอกจากจะมีเรื่องราวของเศรษฐกิจที่น่าสนใจแล้ว ตลาดหุ้นจีนก็มีแนวโน้มค่อนข้างดีด้วยในปีนี้

ข้อสรุปจากที่ผมได้ฟังนักเศรษฐศาสตร์หลายคน รวมถึงผู้บริหารระดับสูงของแบงก์ชาติจีน กระทรวงการคลังจีน และหน่วยงานวิจัยของ State Council ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่าเศรษฐกิจจีนได้พ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว และกำลังเข้าสู่วงจรการฟื้นตัว

ที่น่าสนใจก็คือการเติบโตของจีนในรอบนี้ จะเป็นการโตแบบยั่งยืน และมีคุณภาพมากกว่าเดิม โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักมาจากแผนปฏิรูปเศรษฐกิจ Third Plenum ของรัฐบาลจีน ที่เพิ่งประกาศไปไม่นานมานี้ ที่จะช่วยสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวให้กับจีน

สำหรับในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า DB คาดการณ์ว่า GDP ของจีนจะขยายตัวได้ในระดับ 8.6% ในปีนี้ เทียบกับ 7.7% ในปี 2013 และจะโตได้อีก 8-8.5% ในปีถัดไป โดยมีเหตุผลหลัก 4 ข้อคือ

1. หลายๆ อุตสาหกรรมที่เคยมีกำลังการผลิตที่ล้นอย่างมาก (Overcapacity) เริ่มมีความสมดุลมากขึ้น เช่น solar panel, shipbuilding และ ปูนซีเมนต์ การที่อุปสงค์และอุปทานเริ่มใกล้เคียงกันจะทำให้ productivity สูงขึ้น และทำให้เกิดการลงทุนใหม่ด้วย เพื่อรองรับความต้องการที่ฟื้นตัว

2. แผนปฏิรูปประเทศของจีนซึ่งทำให้มีการเปิดเสรีในหลายๆ อุตสาหกรรมที่มีกำลังผลิตไม่เพียงพอ (Undercapacity) และในอุตสาหกรรมที่เคยผูกขาดโดยรัฐวิสาหกิจ เช่น healthcare, railway และพลังงานสะอาด จะทำให้เกิดการลงทุนใหม่ๆ ในอุตสาหกรรมที่มีความจำเป็นเหล่านี้ ซึ่งนอกจากจะช่วยทำให้อุปสงค์และอุปทานมีความสมดุล ยังจะช่วยเพิ่มเสถียรภาพให้กับเศรษฐกิจอีกด้วย

3. การส่งออกของจีนจะดีขึ้นมาก จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ที่เป็นผู้ซื้อสินค้าจากจีนรายใหญ่ DB คาดว่าจีนจะส่งออกเพิ่มขึ้น 14% ในปี 2014 จาก7% ในปีที่แล้ว

4. การลงทุนของภาครัฐมีแนวโน้มจะสูงขึ้นใน 1-2 ปีข้างหน้า ซึ่งจีนจะทำแบบนี้แทบทุกครั้งที่เศรษฐกิจฟื้นตัวและรายได้ภาครัฐมีมากขึ้น โดยเอารายได้ที่เพิ่มขึ้นไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานใหม่ๆ

ส่วนในระยะยาว การขยายตัวของเศรษฐกิจจีนจะถูกขับเคลื่อนโดยแผนปฏิรูปเศรษฐกิจ Third Plenum เป็นหลัก ซึ่งวิทยากรส่วนใหญ่ใน Conference เห็นตรงกันว่าจะช่วยทำให้เศรษฐกิจจีนเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในทิศทางที่ดีขึ้น แต่อาจกินเวลา 5-7 ปีกว่าจะเห็นผลเป็นรูปธรรม

สรุปสั้นๆ จีนมีแผนที่จะปฏิรูปเศรษฐกิจใน 10 ด้านด้วยกัน คือ 1. Deregulation เปิดเสรีอุตสาหกรรมที่ภาครัฐผูกขาดอยู่ เช่น ธนาคาร, healthcare, โทรคมนาคม, ไฟฟ้า เป็นต้น 2. Opening up เปิดโอกาสให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในธุรกิจบริการได้มากขึ้น 3. Financial liberalization เปิดเสรีทางการเงิน เช่น ยกเลิกเพดานดอกเบี้ย และให้ต่างชาติสามารถถือครองเงินหยวนได้ง่ายและสะดวกขึ้น

4. Land reform ให้สิทธิการเป็นเจ้าของในที่ดินเพื่อการเกษตรแก่เกษตรกร 5. Resource pricing reform ยกเลิกการแทรกแซงและควบคุมราคาทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ก๊าซธรรมชาติและน้ำ 6. SOE reform เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจของรัฐวิสาหกิจ 7. Fiscal reform ปฏิรูปโครงสร้างระบบภาษี และเพิ่มความโปร่งใสในการใช้จ่ายเงินงบประมาณ

8. Social security reform ปฏิรูประบบประกันสังคม และบำเหน็จบำนาญข้าราชการ 9. Municipal bond market development พัฒนาตลาดพันธบัตรรัฐบาลท้องถิ่น เพื่อให้รัฐบาลท้องถิ่นสามารถระดมทุนผ่านตลาดทุนได้ง่ายขึ้น และ 10. One-child policy relaxation ผ่อนคลายนโยบายมีบุตร 1 คนเพื่อชะลอการเป็นสังคมผู้สูงอายุ

ทั้งหมดนี้ถ้าทำได้จริงจะช่วยเพิ่ม growth potential ในระยะยาวให้กับเศรษฐกิจจีน และลดความเสี่ยงระดับมหภาค ทำให้เศรษฐกิจจีนมีเสถียรภาพมากขึ้น ส่วนตลาดหุ้นจีนนั้น DB มีมุมมองที่เป็นบวกมากเช่นกัน โดยคาดว่ามี upside อยู่ประมาณ 20% ในปีนี้ มาจากการเติบโตของ EPS ที่ 13% บวกกับ PE ที่สูงขึ้นหรือ re-rating อีก 7% ซึ่งปัจจัยหลังเป็นผลพวงจากแผนการปฏิรูปเศรษฐกิจที่ช่วยทำให้ EPS มีเสถียรภาพมากขึ้น

สำหรับท่านที่สนใจลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ น่าจะลองศึกษาเรื่องตลาดจีนดูนะครับ เพราะนอกจากจะเป็นตลาดหุ้นที่ถูกที่สุดในเอเชียแล้ว หุ้นหลายๆ ตัวยังมีราคาที่ต่ำมาก หุ้น large cap ที่เทรดที่ PE แค่ 4-6 เท่ายังมีเยอะมากในจีน ซึ่งไม่น่าจะหาได้แล้วในตลาดอื่นๆ แม้กระทั่งในตลาดหุ้นไทย

พบกันใหม่เดือนหน้าครับ สวัสดี