จาก People Power สู่ Reformasi ถึง Whistle Revolution!

เจอเพื่อนอาเซียนวันก่อน เขาบอกว่าประวัติศาสตร์การเมืองของผู้คนแถวนี้ ล้วนผ่านการต่อสู้ของประชาชน
มาแล้วอย่างโชกโชน และกระบวนการสร้างสังคมประชาธิปไตย ที่เป็นธรรมและไม่โกงกินนั้นยังต้องดำเนินต่อไป
เขาบอกว่า เห็นคนไทยพากันเดินขบวนเป็นจำนวนมหาศาล เพื่อต่อต้านความไม่ชอบมาพากลของการเมืองแล้ว ก็ทำให้หวนคิดถึง
People Power ของ ฟิลิปปินส์
Reformasi ของอินโดนีเซียและมาเลเซีย
และ Tsunami ของผู้ออกเสียงต่อต้านพรรครัฐบาลที่มาเลเซีย
และต้องไม่ลืมปรากฏการณ์ Arab Spring ในโลกอาหรับ ที่ทำให้เห็นภาพของการลุกขึ้นมา ประกาศความเป็นเจ้าของประเทศ ของประชาชนที่ต่อต้านอำนาจเผด็จการอย่างเปิดเผย
ล้วนแล้วแต่มีความละม้ายกัน ตรงที่เป็นการลุกขึ้นเพื่อแสดงจุดยืนของประชาชน ที่อัดอั้นกับพฤติกรรมฉ้อฉล และผูกขาดอำนาจในการปกครอง ทั้งในรูปแบบเผด็จการพลเรือน อย่าง เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ของ ฟิลิปปินส์ หรือเผด็จการทหารอย่าง นายพลซูฮาร์โต ของ อินโดนีเซีย ที่กุมอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จ
หรือกรณีการรวมตัวเพื่อตั้งเป็นกลุ่มคนต่อสู้เรียกร้องการ “ปฏิรูป” ในมาเลเซียและอินโดฯ ต่อมาภายหลังที่เรียกขานกันในนามของกลุ่ม Reformasi ที่ส่งผลต่อการลุกฮือของประชาชน ที่ไม่อาจจะทนกับภาวะความเลวร้ายของนักการเมืองและกลุ่มบุคคลรอบด้าน ที่ปล้นทั้งงบประมาณและสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างต่อเนื่อง
เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ของนักศึกษาประชาชนที่ลุกขึ้นโค่นอำนาจเผด็จการทหาร จอมพลถนอม-ประภาส ได้ชื่อว่าเป็น Students’ Uprising ซึ่งมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการล้ม มาร์กอสและซูฮาร์โต ในประเทศเพื่อนบ้าน
ช่วงจังหวะ 14 ตุลา 16 ของไทยนั้น มีเหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตยของนักศึกษาและประชาชน ที่ประเทศกรีซเช่นกัน พวกเขาได้รับแรงบันดาลใจจากการเคลื่อนไหวของนักศึกษาไทยถึงขั้นที่ตะโกน “Thailand! Thailand!” เพื่อส่งกำลังใจให้กับเพื่อนร่วมอุดมการณ์
วันนี้ ขณะที่ “มวลมหาประชาชน” ของไทย กำลังขับเคลื่อนให้มีการ “ปฏิรูปประเทศไทย” ครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ เหตุการณ์ทำนองเดียวกันก็กำลังเกิดขึ้นที่ประเทศยูเครน แม้ว่าจะต่างกันในรายละเอียดของข้อเรียกร้อง แต่โดยสาระของการต่อสู้ก็เหมือนกัน ตรงที่ต้องการจะให้รัฐบาลลาออกเพื่อแก้ปัญหาคอร์รัปชันและผลประโยชน์ทับซ้อนในระดับผู้นำอย่างกว้างขวาง
ไม่ผิดนัก หากจะเรียกปรากฏการณ์ของมวลชนคนไทยวันนี้ว่าเป็น “ปฏิวัตินกหวีด” หรือ “The Whistle Revolution” เพื่อให้เวทีระหว่างประเทศได้เรียนรู้ วิเคราะห์ และเปรียบเทียบการเรียกร้องให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในสังคมการเมืองในยุค social media และ การรณรงค์ให้เกิด “สังคมที่เป็นธรรม” อย่างพร้อมเพรียงและเข้มข้น
ไม่ว่าก้าวต่อไปจากนี้ จะเป็นอย่างไร สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทย จะถูกจารึกไว้เป็นบทสำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองของเอเชียอาคเนย์
เพราะเป็นการประกาศว่า คนไทยจะไม่ยอมตกอยู่ภายใต้การปกครองของนักเลือกตั้ง ทุนสามานย์ สภาผัวเมีย และ ประชานิยม ที่ส่งเสริมคอร์รัปชัน โดยนโยบายภายใต้กลไกแห่ง “ระบอบทักษิณ” อีกต่อไป
การต่อสู้ครั้งนี้ เป็นการยกระดับความสำนึกทางการเมืองของคนไทยในเวทีระหว่างประเทศ เป็นการตอกย้ำว่าแม้คนไทยจะต้องการการเลือกตั้งที่เป็นกลไกสำคัญของระบอบประชาธิปไตย แต่คนไทยก็ได้เรียนรู้ด้วยความเจ็บปวดว่า นักการเมืองที่ใช้เงินและอำนาจในทางชั่วร้ายนั้น สามารถใช้การหย่อนบัตรเป็นเครื่องมือ เพื่อยึดกุมอำนาจเบ็ดเสร็จและใช้ภาษีประชาชนดำเนินนโยบาย เพื่อซื้อเสียงด้วยประชานิยมที่ทำให้ประชาชนต้องพึ่งพาผู้มีอำนาจ เป็นผลให้ระบบที่อ้างว่าเป็นประชาธิปไตยนั้น ถูกใช้สร้างความร่ำรวยและเสริมส่งอำนาจของบุคคลกลุ่มเดียว ที่สามารถใช้เงินที่โกงกินมาซื้อทุกอย่าง ให้มาอยู่ในการควบคุมของตนได้
การลุกฮือของคนไทยวันนี้ ก็คือ การยืนยันว่าประชาธิปไตยมิใช่มีเพียงแค่การเลือกตั้ง หากแต่ว่าจะต้องมีกระบวนการที่มีส่วนร่วมของประชาชนทุกหมู่เหล่า จะต้องมีการปฏิรูปอย่างแท้จริง ต้องสร้าง “สังคมแห่งความเป็นธรรม” ที่คนไทยทุกภาคส่วนมีสิทธิมีเสียง และมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางและการปกครองของประเทศ
อีกครั้งหนึ่ง...ที่คนไทยสามารถยืนตระหง่านอยู่กลางเวทีระหว่างประเทศ เพื่อประกาศว่าประเทศไทยมิใช่เป็นเพียงเกมเก้าอี้ดนตรีสลับฉาก ระหว่างนักการเมืองฉ้อฉลกับทหารนักก่อรัฐประหารเท่านั้น แต่วันนี้... เจ้าของประเทศกำลังทวงคืนอำนาจอธิปไตยเพื่อสร้างสังคม “ปฏิรูป” อย่างแท้จริง ที่เพื่อนบ้านจะนำไปศึกษาเปรียบเทียบและเรียนรู้ได้อย่างเต็มรูปแบบ







